คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3034/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ได้รับจดทะเบียนนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ ม. อ. และโจทก์ซึ่งเป็นหน่วยราชการที่จำเลยที่ 1 รับราชการสังกัดอยู่ได้รับความเสียหาย เมื่อ อ. ฟ้องเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อเอาแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 กับพวก จำเลยที่ 1 ย่อมรู้ดีในขณะนั้นว่าหากโจทก์ต้องเสียค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่ อ. โจทก์ย่อมมีสิทธิจะไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ 1 ผู้เป็นต้นเหตุทำความเสียหายได้ภายหลัง ดังนั้นโจทก์จึงได้ชื่อว่าเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ในความเสียหายที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้นแก่โจทก์ โจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 1 หากจำเลยที่ 1 ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ
จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดนอกจากที่ดินพิพาทแปลงเดียว และจำเลยที่ 1 ได้โอนให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรหลังจากที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ถูก อ. ฟ้องให้ร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้น การกระทำดังกล่าวเป็นการโอนเพื่อหลีกเลี่ยงและให้พ้นจากการถูกบังคับคดี จึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตและเป็นการกระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์ผู้มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ 1 ผู้เป็นต้นเหตุทำความเสียหายได้ภายหลังเสียเปรียบ
จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรโดยเสน่หา ต่อมาจำเลยที่ 2 ถึงที่4 โอนใส่ชื่อจำเลยที่ 5 ถึงที่ 9 ให้ถือกรรมสิทธิ์รวมโดยเสน่หา เพียงแต่จำเลยที่ 1 เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์ก็ขอให้เพิกถอนการโอนดังกล่าวได้
การที่ ธ. น้องชายสามีจำเลยที่ 1 ไถ่ถอนจำนองให้โดยมีข้อตกลงว่าจำเลยที่ 1 จะต้องโอนที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่เป็นการโอนที่มีค่าตอบแทน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๗ จำเลยที่ ๑ รับราชการเป็นข้าราชการของโจทก์ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๐๕ จำเลยที่ ๑ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยยินยอมให้บุคคลที่ใช้ชื่อว่านางสาวมาลีนำใบมอบอำนาจที่มีลายมือชื่อของนางมาลัยปลอมมาใช้ทำนิติกรรมขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๓๙ ของนางมาลัยให้แก่นายชูศักดิ์ โดยจำเลยที่ ๑ จดทะเบียนนิติกรรมขายให้ ต่อมาวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๐๖ จำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนนิติกรรมที่ดินดังกล่าวให้นายชูศักดิ์ขายฝากแก่นางอนงค์และในวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ ก็ได้จดทะเบียนนิติกรรมปลดเงื่อนไขการไถ่เป็นการขายโดยเด็ดขาด ต่อมานางมาลัยได้ฟ้องโจทก์และนางอนงค์ ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนทั้งสามครั้งดังกล่าว ต่อมาวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๐๖ นางอนงค์ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายในเหตุที่จำเลยที่ ๑ กระทำโดยประมาทเลินเล่อดังกล่าวจากโจทก์ จำเลยที่ ๑ นายชูศักดิ์และนายจินดา ศาลพิพากษาให้โจทก์ จำเลยที่ ๑ และนายชูศักดิ์รวม ๓ คนร่วมกันใช้ค่าเสียหาย โจทก์แต่ผู้เดียวได้ชำระค่าเสียหายดังกล่าวแก่นางอนงค์ ต่อมาวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๙ โจทก์จึงฟ้องไล่เบี้ยเรียกเงินที่ได้ชำระดังกล่าวจากจำเลยที่ ๑ ศาลพิพากษาเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๑ ให้จำเลยที่ ๑ รับผิดชดใช้เงินจำนวน ๗๕๐,๐๓๑.๔๖ บาท โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๑๑ หลังจากที่โจทก์ จำเลยที่ ๑ นายชูศักดิ์ และนายจินดาถูกนางอนงค์ฟ้องเรียกค่าเสียหาย จำเลยที่ ๑ ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดตราจองที่ ๖๘๓๒ ของจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ซึ่งเป็นบุตรโดยเสน่หา จำเลยที่ ๑ ไม่มีทรัพย์สินใดที่จะสามารถชำระหนี้แก่นางอนงค์ เป็นการโอนทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นทางให้นางอนงค์และโจทก์ผู้เป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ เสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉล ต่อมาวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๑๙ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ก็ได้โอนที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๙ มีกรรมสิทธิ์รวมโดยเสน่หาเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ ๑ อันเป็นการโอนโดยฉ้อฉลอีก ครั้นต่อมาจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ได้เอาที่ดินไปรวมกับที่ดินแปลงอื่นทำการแบ่งแยกเป็นที่ดินแปลงย่อยจำนวน ๑๕ โฉนด โจทก์ทราบการโอนดังกล่าวเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๒๑ ขอให้พิพากษาว่าการโอนที่ดินโฉนดตราจองที่ ๖๘๓๒ ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ และระหว่างจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ กับจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๙ เป็นโมฆะ ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนและเพิกถอนโฉนดที่แบ่งแยก ให้โฉนดตราจองที่ ๖๘๓๒ คงมีผลและโอนใส่ชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามเดิม
จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ให้การว่า การโอนที่ดินโฉนดตราจองที่ ๖๘๓๒ ของจำเลยที่ ๑ ให้แก่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ กระทำในขณะที่นางอนงค์และโจทก์ยังมิได้เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ ๑ เป็นการโอนโดยสุจริตไม่รู้ว่าจะทำให้นางอนงค์และโจทก์เสียเปรียบ และเป็นการโอนโดยมีค่าตอบแทน คดีขาดอายุความและฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๕ ที่ ๖ และที่ ๘ ให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความนิติกรรมระหว่างจำเลยทั้งหลายได้กระทำก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ เหตุแห่งการเพิกถอนการฉ้อฉลจึงไม่เกิด การได้ที่ดินมาได้กระทำต่อเจ้าพนักงานของโจทก์และกระทำโดยสุจริตมีการเสียค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๗ และที่ ๙ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดตราจองที่ ๖๘๓๒ ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ และระหว่างจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ กับจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๙ ให้เพิกถอนโฉนดแปลงย่อยที่แบ่งแยกจำนวน ๑๕ โฉนด ให้โฉนดตราจองที่ ๖๘๓๒ คงมีผลตามเดิมและโอนใส่ชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ และที่ ๘ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าพนักงานที่ดินผู้ช่วยโทได้รับจดทะเบียนสิทธินิติกรรมโอนขายที่ดินของนางมาลัยตามใบมอบอำนาจปลอมให้แก่นายชูศักดิ์ต่อมานายชูศักดิ์โอนขายฝากแล้วปลดเงื่อนไขการขายฝากเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่ดินนั้นแก่นางอนงค์โดยจำเลยที่ ๑ ก็เป็นผู้รับจดทะเบียนให้ การจดทะเบียนนิติกรรมทั้งสามคราวดังกล่าวนางมาลัยได้ฟ้อง และศาลพิพากษาให้เพิกถอน ต่อมาวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๐๖ นางอนงค์ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายในเหตุที่จำเลยที่ ๑ กระทำโดยประมาทเลินเล่อดังกล่าวจากโจทก์จำเลยที่ ๑ นายชูศักดิ์และนายจินดา ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ จำเลยที่ ๑ และนายชูศักดิ์ร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน ๑,๕๐๐,๐๖๒.๙๓ บาทแก่นางอนงค์ผู้เสียหาย ต่อมาโจทก์แต่ผู้เดียวได้ชำระค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวให้แก่นางอนงค์ และได้ฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ ๑ ให้รับผิดใช้เงินตามจำนวนที่โจทก์ได้ชำระไป ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ รับผิดเป็นเงิน ๗๕๐,๐๓๑.๔๖ บาท โจทก์และจำเลยที่ ๑ ต่างอุทธรณ์ ในระหว่างอุทธรณ์โจทก์สั่งเจ้าพนักงานที่ดินทั่วราชอาณาจักรตรวจสอบทรัพย์สินจำเลยที่ ๑ แล้ว ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดนอกจากที่ดินโฉนดตราจองที่ ๖๘๓๒ เพียงแปลงเดียว แต่จำเลยที่ ๑ ได้โอนให้แก่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ซึ่งเป็นบุตรไปแล้วตั้งแต่วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๑๑ และต่อมาจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ได้โอนใส่ชื่อจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๙ ให้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยเมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๑๙ และต่อมาจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ได้แบ่งแยกที่ดินออกเป็นแปลงย่อยจำนวน ๑๕ โฉนด เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพิษณุโลกรายงานให้โจทก์ทราบถึงการโอนเมื่อกลางเดือนสิงหาคม ๒๕๒๑ โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๒๑
จำเลยฎีกาในข้อแรกว่า โจทก์มิได้อยู่ในฐานะเจ้าหนี้จำเลยอยู่แล้วในขณะที่จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่อาจขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าว ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ ได้รับจดทะเบียนนิติกรรมด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นางมาลัยนางอนงค์และโจทก์ซึ่งเป็นหน่วยราชการที่จำเลยที่ ๑ รับราชการสังกัดอยู่ได้รับความเสียหาย และเมื่อนางอนงค์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเอาแก่โจทก์จำเลยที่ ๑ กับพวก เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๐๖ จำเลยที่ ๑ ย่อมรู้ดีในขณะนั้นว่าหากโจทก์ต้องเสียค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่นางอนงค์ไป โจทก์ย่อมมีสิทธิจะไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ ๑ ผู้เป็นต้นเหตุทำความเสียหายได้ภายหลัง ดังนั้นโจทก์จึงได้ชื่อว่าเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๑ ในความเสียหายที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้นแก่โจทก์ โจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมโอนที่ดินพิพาทของจำเลยที่ ๑ หากจำเลยที่ ๑ ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ
จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่าการทำนิติกรรมโอนที่ดินพิพาทของจำเลยที่ ๑ ได้กระทำไปโดยสุจริต ไม่เป็นการกระทำไปทั้งที่รู้ว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดนอกจากที่ดินพิพาทแปลงเดียว และจำเลยที่ ๑ ได้โอนให้แก่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ ๑ เอง เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๑๑ อันเป็นเวลาภายหลังที่โจทก์ จำเลยที่ ๑ ได้ถูกนางอนงค์ฟ้องเป็นจำเลยให้ร่วมกันรับผิด การที่จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินพิพาทให้แก่บุตรของตนไปก็เพื่อหลีกเลี่ยงและให้พ้นจากการถูกบังคับคดี จึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตและเป็นการกระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์ผู้มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ ๑ ผู้เป็นต้นเหตุทำความเสียหายได้ภายหลังเสียเปรียบด้วย
จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า การทำนิติกรรมโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ และระหว่างจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ กับจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๙ เป็นการกระทำโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน มิใช่การโอนโดยเสน่หา โจทก์ไม่อาจขอให้เพิกถอนได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๑๑ นั้น ปรากฏตามรายการแก้ทะเบียนในโฉนดพิพาทระบุว่าเป็นการให้ และปรากฏชัดตามหนังสือสัญญาให้ที่ดินที่ทำไว้ต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า ผู้ให้เป็นมารดารับให้และให้โดยเสน่หา กรณีจึงต้องถือว่าเป็นการทำให้โดยเสน่หา ส่วนการโอนระหว่างจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ กับจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๙ เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๑๙ นั้น ปรากฏตามรายการแก้ทะเบียนในโฉนดตราจองรายพิพาทระบุว่าเป็นการให้ถือกรรมสิทธิ์รวมเฉพาะส่วนและปรากฏตามบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมที่ทำไว้ต่อเจ้าพนักงานที่ดินระบุว่า เป็นการให้ถือกรรมสิทธิ์รวมโดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทน จึงต้องถือว่าสิทธิในกรรมสิทธิ์รวมของจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๙ นั้นได้มาโดยเสน่หา ที่จำเลยอ้างและนำสืบว่า ก่อนที่จำเลยที่ ๑โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ที่ดินพิพาทติดจำนองธนาคารกรุงไทย จำกัด เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท นายธนิตน้องชายสามีจำเลยที่ ๑ ได้ไถ่ถอนจำนองให้โดยมีข้อตกลงว่า จำเลยที่ ๑ จะต้องโอนที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ นั้น แม้จะเป็นความจริงก็จะรับฟังว่าการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ และระหว่างจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ กับจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๙ มีค่าตอบแทนไม่ได้ เมื่อการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ เป็นการทำให้โดยเสน่หา และสิทธิในกรรมสิทธิ์รวมของจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๙ ได้มาโดยเสน่หาดังกล่าวแล้ว เพียงแต่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้
จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ได้โอนที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๑๑ โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๒๑ หาได้พ้นสิบปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมโอนนั้นไม่ ข้อที่ว่าโจทก์ฟ้องเมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่เวลาที่โจทก์ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนนั้น ปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพิษณุโลกได้ตรวจสอบทราบว่าจำเลยที่ ๑ ทำการโอนที่ดินพิพาท แล้วรายงานให้โจทก์ทราบถึงการโอนเมื่อกลางเดือนสิงหาคม ๒๕๒๑ ฉะนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๒๑ จึงหาพ้นหนึ่งปีนับแต่เวลาที่โจทก์ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนนั้นไม่ คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share