คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1557/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยอมตกลงว่าจะใช้เงินที่โจทก์เสียไปคืนให้แก่โจทก์หากบุตรโจทก์ไม่ได้ไปทำงานที่ต่างประเทศตามที่จำเลยชักนำ โดยจำเลยยอมทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้เพื่อเป็นหลักประกัน เมื่อบริษัทจัดหางานไม่สามารถส่งบุตรโจทก์ไปทำงานต่างประเทศได้ จำเลยก็ต้องรับผิดใช้หนี้ให้โจทก์ตามที่ตกลงทำสัญญากู้ไว้ จะอ้างว่าไม่มีมูลหนี้ต่อกันหาได้ไม่ เพราะการกู้ยืมเงินนั้น ผู้กู้ไม่จำต้องรับเงินไปจากผู้ให้กู้เสมอไป ผู้กู้อาจตกลงยอมรับเอาหนี้สินอย่างอื่นมาแปลงเป็นหนี้เงินกู้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ไปโดยจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้ หนี้ถึงกำหนดชำระมานานแล้ว โจทก์ทวงถามจำเลยขอผัดผ่อนตลอดมาแต่ไม่ใช้ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินต้นและดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยไม่เคยได้รับเงินจากโจทก์ตามสัญญากู้ความจริงมีอยู่ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้รวบรวมคนไปสมัครงานที่บริษัทจัดหาคนงานไปทำงานที่ประเทศซาอุดีอาราเบียโดยบุคคลเหล่านั้นจะต้องเสียเงินให้แก่บริษัทจัดหาคนงานบุตรของโจทก์สมัครไปทำงานและได้เสียเงินให้แก่บริษัทจัดหาคนงาน โจทก์เกรงว่าเงินที่เสียไปนั้นจะสูญเปล่าหากบุตรของโจทก์ไม่ได้ไปทำงานที่ต่างประเทศ โจทก์จึงให้จำเลยทั้งสองทำหนังสือสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้เท่าจำนวนเงินที่ได้เสียให้ไป เนื่องจากจำเลยที่ 1 เป็นผู้นำคนงานไปสมัครงานต่อมาปรากฏว่าบริษัทจัดหาคนงานไม่สามารถจัดส่งคนงานรวมทั้งบุตรโจทก์ไปทำงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบียได้ โจทก์จึงนำสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันที่จำเลยให้ไว้มาฟ้อง สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันที่โจทก์นำมาฟ้องไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายเพราะจำเลยไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้นั้น ขอให้ศาลยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยโดยเห็นว่าจำเลยได้ตกลงยอมผูกพันตนเป็นลูกหนี้โจทก์ตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันนั้นเพื่อประโยชน์แก่บริษัทจัดหาคนงานจริง พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนก็ให้จำเลยที่ 2 ชำระแก่โจทก์จนครบ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ของตนว่าไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้เพื่อแสดงว่าสัญญากู้นั้นไม่สมบูรณ์หรือไม่มีมูลหนี้ต่อกันได้ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกู้ยืมเงินนั้นผู้กู้ไม่จำต้องรับเงินไปจากผู้ให้กู้เสมอไป ผู้กู้อาจตกลงยอมรับเอาหนี้สินอย่างอื่นมาแปลงเป็นหนี้เงินกู้ได้ ดังเช่นกรณีซึ่งจำเลยยอมตกลงว่าจะใช้เงินที่โจทก์เสียไปคืนให้โจทก์ หากบุตรโจทก์ไม่ได้ไปทำงานที่ต่างประเทศตามที่จำเลยได้ชักนำโดยจำเลยทั้งสองยอมทำสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้เพื่อเป็นหลักประกันว่าบุตรโจทก์จะต้องได้ไปทำงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบียแน่นอนโดยจำเลยรับรองว่าฝ่ายโจทก์จะต้องไม่สูญเปล่าในเงินที่เสียไปดังนั้น เมื่อบริษัทจัดหางานไม่สามารถส่งบุตรโจทก์ไปทำงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบียได้ จำเลยก็ต้องรับผิดใช้หนี้ให้โจทก์ตามที่ตกลงทำสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้ จำเลยจะอ้างว่าไม่มีมูลหนี้ต่อกันหาได้ไม่ แม้จำเลยจะนำสืบได้ว่าจำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้นั้นก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความผูกพันที่จะต้องใช้หนี้ให้โจทก์ตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันนั้นได้ เพราะเป็นเรื่องที่มีมูลหนี้ต่อกันในเรื่องเงินที่โจทก์ได้เสียไปดังกล่าวแล้ว

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share