แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แต่งงานกันตามประเพณีโดยมิได้จดทะเบียน แต่อยู่กินด้วยกันและระคนทรัพย์กันนั้น ทรัพย์ใดที่หามาได้ด้วยทรัพย์หรือแรงงานของฝ่ายใดก็ต้องถือว่าเจตนาเป็นเจ้าของร่วมกัน เมื่อไม่ปรากฏอย่างอื่นก็ต้องถือว่าเป็นเจ้าของร่วมกันคนละครึ่งแม้จะแยกกันอยู่ภายหลังโดยมีการเยี่ยมเยียนกันอยู่ก็ไม่พอถือว่าจะไม่ร่วมทุกข์ร่วมสุขและไม่ระคนทรัพย์ต่อกัน
บิดามารดาแยกกันอยู่ มีบุตรเป็นทารกยังไม่เดียงสาและบิดามีภรรยาใหม่ ควรให้มารดาเป็นผู้ปกครอง
มารดาซึ่งขอเป็นผู้ปกครองบุตรนั้น แม้จะไม่มีทรัพย์พอเลี้ยงดูหรือมีพอก็ตามเมื่อบิดามีฐานะจะออกค่าเลี้ยงดูได้ บิดาก็ต้องออกค่าเลี้ยงดู
จำเลยฎีกาเฉพาะทุนทรัพย์ที่แพ้ชั้นศาลอุทธรณ์ก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ที่แพ้นั้น
โจทก์ฟ้องแบ่งที่ดินกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 1,000 บาท ศาลจะพิพากษาว่าโจทก์จำเลยมีส่วนคนละครึ่งไม่ได้ จะต้องพิพากษาให้แบ่งกันด้วย แต่ต้องไม่เกิน 1,000 บาทเท่าที่โจทก์ขอ
ย่อยาว
ได้ความว่า โจทก์จำเลยแต่งงานกันตามประเพณีแต่ไม่ได้จดทะเบียน อยู่กินด้วยกันมาจนมีบุตร ๒ คน แล้วจำเลยไปได้ภรรยาใหม่ โจทก์จึงฟ้องแบ่งทรัพย์ครึ่งหนึ่งกับเรียกค่าเลี้ยงดูบุตร
ศาลฎีกาตัดสินว่าในทางกฎหมายจะถือว่าโจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากันไม่ได้ แต่ไม่เป็นการกะทบกะเทือนถึงสิทธิในทรัพย์ระหว่างโจทก์จำเลยอันจะพึงได้ตามกฎหมายทั่วไป พฤตติการณ์ที่โจทก์จำเลยแต่งงานและอยู่กินด้วยกันฉันท์สามีภรรยาเช่นนี้ แสดงว่าโจทก์จำเลยได้ร่วมเข้าทำมาหากินด้วยกัน แม้ภายหลังไม่ได้อยู่ร่วมกัน เพียงแต่มีการเยี่ยมเยียนกันไปมานั้นไม่พอถือว่า ไม่ร่วมทุกข์ร่วมสุขและไม่ระคนทรัพย์กันต่อไป เมื่อปฏิบัติกันเช่นนี้ทรัพย์ใดที่หาได้ระหว่างนั้นแม้จะเป็นด้วยเงินหรือแรงงานของฝ่ายใดก็ตาม ต้องถือว่าเป็นทรัพย์ที่หามาโดยเจตนาเป็นเจ้าของร่วมกัน เมื่อไม่มีความปรากฎเป็นอย่างอื่นที่ศาลอุทธรณ์ให้โจทก์จำเลยมีส่วนคนละครึ่งชอบแล้ว
คดีนี้ศาลล่างพิพากษาว่าจำเลยเป็นบิด ไม่มีประเด็นสู่ศาลฎีกาสำหรับในเรื่องค่าเลี้ยงดูบุตร ศาลอุทธรณ์ว่าเด็กยังไม่เดียงสาอยู่กับโจทก์ดีกว่าอยู่กับจำเลยซึ่งมีภรรยาแล้ว ศาลฎีกาเห็นชอบด้วย การที่มารดาแสดงให้เห็นว่าตนจะปกครองบุตรได้ดี ไม่หมายความว่ามีกำลังพอเลี้ยงดู แม้ไม่มีเงินทองพอหรือมีพอ ก็ไม่หมายความว่าบิดาซึ่งมีกำลังพอจะไม่ต้องออกค่าเลี้ยงดู ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดู ๑๐๐๐ บาท และขอแบ่งทรัพย์ ๒ ราย คือรายที่ ๑ เงินสดขายของได้ ๑๕๐๐ บาทรายที่๒ สวนยาง ๑๐๐๐ บาทรวม ๒๕๐๐ บาทรวมกับค่าเลี้ยงดูเป็นเงิน ๓๕๐๐ บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเลี้ยงดูและให้โจทก์มีส่วนในสวนยางส่วนเงินสดศาลอุทธรณ์ไม่ให้ จำเลยฎีกาจึงเป็นฎีกาในทางทรัพย์ ๒๐๐๐ บาท ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ ๓๕๐๐ บาทจึงเกินไปให้คืนส่วนที่เกิน
อนึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์มีส่วนในสวนยางเฉย ๆ (คือพิพากษาให้โจทก์จำเลยมีส่วนคนละกึ่ง) ยังไม่ตรงกับคำขอของโจทก์+ โจทก์ขอให้แบ่งทรัพย์ร่วมตามฟ้องให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งเป็นเงิน ๒๕๐๐ บาท คือสำหรับที่ดิน ๒ แปลง ๑๐๐๐ บาท ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ให้โจทก์จำเลยมีส่วนในทรัพย์คนละครึ่งให้จำเลยแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ แต่ไม่เกิน ๑๐๐๐ บาทเท่าที่โจทก์ขอ นอกนั้นยืน