คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3024/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะเป็นเจ้าสำนักโรงแรมโดยแนบสัญญาเช่าซื้อรถยนต์มาท้ายฟ้อง แม้ตามสัญญาเช่าซื้อไม่มีลายมือชื่อของผู้ให้เช่าซื้อก็ไม่ทำให้ฟ้องเสียไป เพราะไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องแนบสัญญาเช่าซื้อมาพร้อมกับฟ้อง อีกทั้งการจะพิจารณาว่าสัญญาเช่าซื้อทำขึ้นโดยชอบหรือไม่เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา
บริษัท ส. ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมโดยมีจำเลยเป็นเจ้าสำนักโรงแรม เมื่อปรากฏว่าโจทก์มาพักอาศัยที่โรงแรมโดยนำรถยนต์มาจอดไว้ที่ลานจอดรถในบริเวณโรงแรมแล้วหายไป จำเลยซึ่งเป็นเจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดต่อโจทก์ จะอ้างไม่รับผิดเป็นส่วนตัวเพราะเป็นตัวแทนของบริษัท ส. ไม่ได้
ค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องรับผิดในการที่รถยนต์ของโจทก์สูญหายก็คือราคารถยนต์ ซึ่งต้องถือเอาราคาที่อาจซื้อขายกันได้ตามปกติในเวลาที่สูญหาย คดีนี้โจทก์ได้รถยนต์คันพิพาทมาด้วยการเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อบวกดอกเบี้ยเข้าไว้ในราคาด้วย ทำให้ราคารถยนต์สูงกว่าราคาปกติที่ซื้อขายกัน การเสียดอกเบี้ยนั้นถือว่าเป็นภาระส่วนตัวเป็นพิเศษของผู้เช่าซื้อ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินส่วนที่เป็นดอกเบี้ย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้นำรถยนต์กระบะซึ่งเช่าซื้อมาจากบริษัทสยามกลการ จำกัด เข้าจอดพักที่โรงแรมสีดาของจำเลยโดยจอดในบริเวณโรงแรมพร้อมกับได้ฝากพนักงานซึ่งเป็นยามของโรงแรมไว้ ต่อมารถคันดังกล่าวหายไป โจทก์ต้องชำระหนี้ราคารถยนต์แก่ผู้ให้เช่าซื้อเป็นเงิน ๑๗๕,๑๐๐ บาท จำเลยซึ่งเป็นเจ้าสำนักโรงแรมสีดาต้องรับผิดขอใช้ให้โจทก์ โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเพียง ๑๕๐,๐๐๐ บาท โจทก์บอกกล่าวแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้ฝากรถยนต์แก่พนักงานของโรงแรม ขณะรถยนต์ถูกคนร้ายลักไปรถยนต์อยู่ในความครอบครองของโจทก์ โรงแรมสีดาไม่ได้รับฝากรถยนต์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โรงแรมสีดาเป็นของบริษัทสีดา จำกัด เป็นนิติบุคคล จำเลยเป็นเจ้าสำนักควบคุมจัดการโรงแรมอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนของบริษัทดังกล่าว จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่ได้เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ค่าเสียหายของโจทก์ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในการฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในฐานะที่จำเลยเป็นเจ้าสำนักโรงแรมที่โจทก์ไปพักอาศัยและได้นำรถยนต์ที่โจทก์เช่าซื้อมาจอดไว้ที่ลานจอดรถในบริเวณโรงแรม และรถยนต์ได้หายไปนั้น ไม่มีกฎหมายใดบังคับให้ต้องแนบสัญญาเช่าซื้อมาพร้อมกับฟ้อง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๒ วรรคท้าย บังคับแต่เพียงว่า สัญญาเช่าซื้อถ้าไม่ทำเป็นหนังสือถือว่าเป็นโมฆะเท่านั้น การที่โจทก์แนบสัญญาเช่าซื้อมาท้ายฟ้องโดยในสัญญาไม่มีลายมือชื่อของผู้ให้เช่าซื้อนั้น ไม่ทำให้ฟ้องเสียไป และยังถือไม่ได้ว่าสัญญาเช่าซื้อทำขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและตกเป็นโมฆะ สัญญาเช่าซื้อทำขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือตกเป็นโมฆะหรือไม่นั้น โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา เพียงแต่ดูสำเนาสัญญาเช่าซื้อท้ายฟ้องเท่านั้น แล้วลงความเห็นว่าสัญญาเช่าซื้อไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือตกเป็นโมฆะนั้นยังไม่ได้ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวนั้น ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โรงแรมสีดาเป็นของบริษัทสีดาชัย จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย บริษัทสีดาชัย จำกัด ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมสีดา โดยให้จำเลยเป็นเจ้าสำนักควบคุมจัดการโรงแรม ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรงแรม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๗๔ บัญญัติว่า เจ้าสำนักโรงแรม….จะต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา และมาตรา ๖๗๕ บัญญัติว่า เจ้าสำนักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม… ก็คงต้องรับผิด ฯลฯ ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้มาพักอาศัยที่โรงแรมสีดาและได้นำรถยนต์คันพิพาทจอดไว้ที่ลานจอดรถในบริเวณโรงแรมแล้วต่อมารถยนต์คันดังกล่าวได้หายไป จำเลยซึ่งเป็นเจ้าสำนักโรงแรมจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยจะอ้างว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวเพราะจำเลยเป็นตัวแทนบริษัทสีดาชัย จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมไม่ได้ ที่จำเลยฎีกาในประการต่อมาว่า ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาทนั้นมากเกินไป โจทก์เสียหายไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในการที่รถยนต์ของโจทก์ได้สูญหายไปนั้น ค่าเสียหายดังกล่าวก็คือราคารถยนต์ ราคาของรถยนต์นั้นต้องถือเอาราคาที่อาจซื้อขายกันได้ตามปกติในเวลาที่รถยนต์สูญหาย แต่รถยนต์คันพิพาทโจทก์ซื้อมาโดยการเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อบวกดอกเบี้ยเข้าไว้ในราคาด้วย ทำให้ราคารถยนต์สูงกว่าราคาปกติที่ซื้อขายกัน การเสียดอกเบี้ยดังกล่าวถือว่าเป็นภาระส่วนตัวเป็นพิเศษของโจทก์ผู้เช่าซื้อ จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินส่วนที่เป็นดอกเบี้ย คดีนี้โจทก์จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่า รถยนต์คันพิพาทถ้าซื้อด้วยเงินสดจะมีราคาเท่าไร มีดอกเบี้ยรวมอยู่เท่าใด แต่ก็ได้ความว่ารถยนต์คันพิพาทโจทก์เช่าซื้อมาในราคา ๒๔๕,๓๐๐ บาท โจทก์ใช้รถยนต์มา ๘ เดือนเศษ หากจะคิดหักดอกเบี้ยที่จะพึงมีออกและคิดค่าเสื่อมราคาของรถยนต์ที่ใช้มา ๘ เดือนเศษแล้ว โจทก์ขอคิดเพียง ๑๕๐,๐๐๐ บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ราคารถยนต์ดังกล่าวที่โจทก์ขอมาเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาทนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share