แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในชั้น อุทธรณ์ จำเลยอ้างแต่ เพียงว่า จำเลยได้ ครอบครองทรัพย์พิพาทอย่างเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ วันที่โจทก์ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยไม่ได้อ้างว่าจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ การที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทรัพย์พิพาททั้งหมด ต่อมาโจทก์จำเลยทะเลาะกัน จำเลยไล่โจทก์ออกจากบ้านซึ่ง เป็นทรัพย์พิพาทชิ้น หนึ่ง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ ว่าจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือทรัพย์พิพาท จำเลยจึงได้ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทโดย การครอบครองนั้น จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่ จำเลยไม่มีสิทธินำทรัพย์นั้นไปจำหน่ายจ่ายโอนได้ คำพิพากษาตาม สัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยนำทรัพย์พิพาทไปตีใช้ หนี้ให้แก่บิดาจำเลยไม่ผูกพันโจทก์ซึ่ง เป็นบุคคลภายนอกและเป็นเจ้าของทรัพย์พิพาท โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยออกไปจากบ้านพิพาทและส่งมอบทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์ได้ .
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้จดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน และได้ตกลงแบ่งสินสมรสโดยจำเลยยอมแบ่งทรัพย์สินให้โจทก์รวม 14 รายการ รวมทั้งบ้านพิพาท และให้โจทก์ใช้หนี้บุคคลอื่นเป็นเงิน 22,590 บาท ต่อมาจำเลยนำทรัพย์สินของโจทก์ไปยกให้บิดาจำเลย โจทก์ทางถามให้จำเลยคืนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่โจทก์และให้จำเลยกับบริวารออกจากบ้านของโจทก์แล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยคืนทรัพย์สินตามเอกสารท้ายฟ้องให้แก่โจทก์ ให้จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับบ้านและทรัพย์สินดังกล่าว
จำเลยให้การว่า ทำหนังสือยกทรัพย์พิพาทให้โจทก์จริงแต่โจทก์เห็นใจจำเลยซึ่งต้องรับภาระเลี้ยงดูบุตรทั้งสามแต่ผู้เดียวจึงไม่ขอรับบ้านและทรัพย์สินพิพาทและมอบคืนให้จำเลยกับบุตรเพื่อใช้และอยู่อาศัย ทรัพย์ดังกล่าวจึงตกเป็นของจำเลย ต่อมาจำเลยมอบเงินให้โจทก์ไป 40,000 บาท โจทก์สัญญาว่าจะไม่เรียกร้องเพิ่มเติมอีก การที่จำเลยนำบ้านและทรัพย์พิพาทไปชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาล จึงเป็นสิทธิของจำเลยและทรัพย์สินดังกล่าวได้เปลี่ยนไปเป็นของคนอื่นแล้ว พ้นวิสัยที่จำเลยจะปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ จำเลยได้ครอบครองทรัพย์พิพาทโดยสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลาเกินกว่า 5 ปีแล้วกรรมสิทธิ์จึงตกเป็นของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านเรือนของโจทก์ตามฟ้อง ให้จำเลยคืนทรัพย์ทั้งหมดให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อโจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่ากันแล้ว โจทก์จำเลยทำหนังสือตกลงแบ่งสินสมรสโดยจำเลยยกทรัพย์สินตามฟ้องให้โจทก์ โจทก์ต้องใช้หนี้บุคคลภายนอกเป็นเงิน 22,590 บาทจำเลยไม่ได้ให้เงินจำนวน 40,000 บาท ให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยนำบ้านพิพาทและทรัพย์สินภายในบ้าน อันเป็นทรัพย์สินที่จำเลยแบ่งให้โจทก์แล้วไปชำระหนี้ให้บิดาจำเลย ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งของศาลจังหวัดเพชรบูรณ์ แต่จำเลยยังคงครอบครองบ้านและทรัพย์สินดังกล่าวอยู่ แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า จากการนำสืบของโจทก์ที่ได้ความว่า จำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทรัพย์พิพาททั้งหมด ต่อมาโจทก์กับจำเลยทะเลาะกันจำเลยไล่โจทก์ให้ออกจากบ้าน พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่า จำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือทรัพย์พิพาท โดยบอกกล่าวแก่โจทก์ว่าจะไม่ยึดถือทรัพย์พิพาทแทนโจทก์ จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทโดยการครอบครองนั้น เห็นว่า ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอ้างแต่เพียงว่าจำเลยได้ครอบครองทรัพย์พิพาทอย่างเป็นเจ้าของมาตั้งแต่วันที่โจทก์ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลย ไม่ได้อ้างว่าจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ การที่จำเลยฎีกาดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาในข้อต่อมาว่า จำเลยได้นำทรัพย์พิพาทไปตีใช้หนี้ให้แก่บิดาจำเลย และศาลได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไปแล้ว จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำฟ้องของโจทก์ได้นั้นเห็นว่า เมื่อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะนำทรัพย์นั้นไปจำหน่ายจ่ายโอนได้ คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังที่จำเลยอ้างไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นเจ้าของทรัพย์พิพาท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยออกจากบ้านพิพาท และส่งมอบทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน.