แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1461 วรรคหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้าง แต่การร่วมประเวณีต้องเกิดจากความยินยอมของทั้งสองฝ่าย หากอีกฝ่ายไม่ยินยอมก็ไม่อาจบังคับได้ หากขืนใจถือเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 276
การที่จำเลยเรียกบุตรผู้เยาว์มาฟังคำด่าจนโจทก์ยอมให้จำเลยร่วมประเวณีเพื่อให้บุตรผู้เยาว์ไปพักผ่อน เช่นนี้จะถือว่าโจทก์ยอมให้จำเลยร่วมประเวณีไม่ได้ และการที่โจทก์มดลูกอักเสบจากการร่วมประเวณีของจำเลย จำเลยทราบแต่ไม่หยุดร่วมประเวณีกับโจทก์ จนโจทก์ต้องหนีออกจากบ้าน พฤติกรรมของจำเลยถือเป็นการทำร้ายหรือทรมานจิตใจโจทก์อย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (3) และยังถือเป็นพฤติการณ์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (6) ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้จำเลยแบ่งสินสมรสให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนในที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ 6 แปลง ที่เป็นสินสมรสให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยชำระค่าทดแทนตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1525
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา ให้จำเลยแบ่งสินสมรส ได้แก่ รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นสปอร์ตไรเดอร์ หมายเลขทะเบียน วห 5127 กรุงเทพมหานคร ที่ดินพร้อมบ้านเลขที่ 23/7 อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ตามสำเนาโฉนดที่ดิน บ้านและที่ดินอีก 2 แปลง ที่ตำบลดอยลาน จังหวัดเชียงราย ทองคำแท่งและทองรูปพรรณ น้ำหนักรวม 20 บาท ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยชำระเงิน 722,750 บาท แก่โจทก์ หากตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2557 ถึงวันพิพากษา (วันที่ 31 กรกฎาคม 2557) จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่โจทก์เท่าใดนำมาหักด้วย ให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 15,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมศาลที่โจทก์ได้รับอนุญาตยกเว้นบางส่วนในศาลชั้นต้น ให้จำเลยนำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์เฉพาะ ค่าขึ้นศาลเท่าที่โจทก์ชนะคดี ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติในชั้นนี้โดยคู่ความไม่โต้แย้งคัดค้านว่า โจทก์และจำเลยอยู่กินเป็นสามีภริยากันขณะโจทก์อายุประมาณ 18 ปี (ประมาณปี 2528 จำเลยเป็นคนพิการขาข้างขวาขาดตั้งแต่ต้นขาเหนือเข่าต้องใส่ขาเทียม) ต่อมาจดทะเบียนสมรสกันภายหลังเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2533 มีบุตรก่อนจดทะเบียนสมรส 2 คนและหลังจดทะเบียนสมรส 1 คน คือนางสาว ก. นางสาว ร. และนางสาว ณ. ตามสำเนาทะเบียนการสมรส สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านบุตรทั้งสามระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากัน จำเลยร่วมประเวณีกับโจทก์เวลาประมาณ 19 นาฬิกา เกือบทุกวัน โดยในระหว่างที่บุตรเป็นผู้เยาว์ หากโจทก์ไม่ยินยอมให้จำเลยร่วมประเวณี จำเลยก็จะเรียกบุตรแต่ละคนมาฟังคำด่าของจำเลย จนโจทก์ยินยอม จำเลยจึงยอมให้บุตรไปพักผ่อน เมื่อปลายปี 2556 โจทก์ปวดท้องเนื่องจากมดลูกอักเสบ จำเลยทราบดี จำเลยก็ยังร่วมประเวณีกับโจทก์จนโจทก์ทนไม่ได้ต้องหนีออกจากบ้านไปหลายครั้ง บุตรได้ขอร้องให้โจทก์กลับมาอยู่กับจำเลย และจำเลยรับปากว่า จะไม่กระทำการดังกล่าวอีก เมื่อโจทก์กลับมาอยู่กับจำเลย แต่จำเลยยังคงมีพฤติกรรมเช่นเดิม จนครั้งสุดท้ายโจทก์หนีไปอยู่ที่อื่นไม่กลับไปอยู่กับจำเลยและได้ให้ทนายความมีหนังสือถึงจำเลยขอหย่าและแบ่งสินสมรส ระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากัน โจทก์และจำเลยร่วมทำมาหากิน ที่ดินโฉนดเลขที่ 133476 อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 50 ตารางวา ตามสำเนาโฉนดที่ดิน พร้อมบ้านเลขที่ 23/7 ที่ดินโฉนดเลขที่ 134229 ถึง 134302 อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 1 งาน, 1 งาน, 61 ตารางวา และ 50 ตารางวา ตามสำเนาโฉนดที่ดิน ที่ดินโฉนดเลขที่ 81562 อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 1 งาน ตามสำเนาโฉนดที่ดิน พร้อมตึกแถว 7 ห้อง และที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ 2 แปลง ที่ตำบลดอยลาน จังหวัดเชียงราย พร้อมบ้านกับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นสปอร์ตไรเดอร์ หมายเลขทะเบียน วห 5127 กรุงเทพมหานคร สลากออมสินของธนาคารออมสิน 100,000 บาท ตามสำเนาสลากออมสิน เงินประกันชีวิต 130,000 บาท ตามสำเนากรมธรรม์ประกันชีวิต รวมทั้งทองคำแท่งและทองรูปพรรณ น้ำหนัก 20 บาท สร้อยคอและต่างหู กับสิทธิเรียกร้องหนี้จากนายปรีชา 540,000 บาท เป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส โดยโฉนดที่ดินและทะเบียนรถยนต์มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ สลากออมสินถอนมาได้เงิน 105,500 บาท เงินประกันชีวิตได้รับมาแล้ว 120,000 บาท สร้อยคอและต่างหู ขายไปแล้วได้เงินมา 200,000 บาท และนายปรีชาชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องมาแล้ว 20,000 บาท รวมเป็นเงินที่ได้รับมา 445,500 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำขอแบ่งที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน โจทก์ไม่อุทธรณ์จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน พร้อมบ้านเลขที่ 23/7 จำเลยไม่อุทธรณ์จึงยุติ
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า มีเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยป่วยเป็นวัณโรค เบาหวานและถุงลมโป่งพองต้องรับประทานยาไม่สามารถร่วมเพศได้ทุกวัน จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ และในชั้นนำสืบพยานก็ไม่ได้นำสืบพยานไว้ เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวโดยชอบมาในศาลล่างทั้งสองต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ทั้งเอกสารแนบท้ายฎีกาหมายเลข 1 และหมายเลข 9 ดังกล่าว จำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายต้องห้ามมิให้รับฟัง ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (2) และมาตรา 88 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 นอกจากนี้ ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่นำแพทย์ที่ตรวจรักษาโจทก์เกี่ยวกับมดลูกอักเสบ จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มดลูกอักเสบนั้น โจทก์บรรยายฟ้องอ้างเหตุมดลูกอักเสบ จำเลยไม่ให้การโต้แย้งถือว่าจำเลยรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง โดยโจทก์ไม่ต้องนำแพทย์มาเป็นพยาน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 (3) ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ระหว่างระยะเวลา 20 ปี ที่โจทก์จำเลยอยู่ด้วยกัน จำเลยจะร่วมเพศกับโจทก์ทุกวันแทบไม่มีวันหยุด โดยช่วงที่บุตรยังเป็นผู้เยาว์ หากโจทก์ไม่ยินยอมร่วมเพศ จำเลยก็จะเรียกบุตรแต่ละคนมานั่งฟังคำด่า จนโจทก์ต้องยินยอมให้จำเลยร่วมเพศ จำเลยจึงยอมให้บุตรไปนอนพักผ่อน จนกระทั่งปลายปี 2556 โจทก์ปวดท้องเพราะมดลูกอักเสบ จำเลยทราบเรื่องดี จำเลยยังคงร่วมเพศกับโจทก์อีก จนโจทก์ทนพฤติกรรมของจำเลยไม่ได้ต้องหนีออกจากบ้านหลายครั้ง ทุกครั้งบุตรต้องขอร้องให้กลับไปอยู่กับจำเลยโดยจำเลยรับปากว่าจะไม่มีพฤติกรรมทางเพศดังกล่าว โจทก์กลับไปอยู่กับจำเลย แต่จำเลยคงมีพฤติกรรมเช่นเดิมดังที่ศาลล่างวินิจฉัย เห็นว่า แม้โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยาต้องอยู่ด้วยกันฉันสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 วรรคหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้าง แต่การร่วมประเวณีแต่ละครั้งต้องเกิดจากความยินยอมทั้งสองฝ่าย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมพร้อมใจอีกฝ่ายก็จะบังคับหาได้ไม่ หากขืนใจก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ได้ การที่จำเลยเรียกบุตรผู้เยาว์มาฟังคำด่าจนโจทก์ยอมให้จำเลยร่วมประเวณีก็เพื่อให้บุตรผู้เยาว์ได้พักผ่อน เช่นนี้จะถือว่าจำเลยยินยอมพร้อมใจที่จะร่วมประเวณีกับจำเลยหาได้ไม่ การที่โจทก์มดลูกอักเสบจากการร่วมประเวณีของจำเลย เมื่อจำเลยทราบก็ยังไม่หยุดร่วมประเวณีกับโจทก์ จนโจทก์ต้องหนีออกจากบ้านหลายครั้ง และเมื่อกลับมาอยู่กับจำเลยเนื่องจากบุตรช่วยเจรจาและจำเลยรับปากว่าจะไม่กระทำตามพฤติกรรมดังกล่าว แต่จำเลยก็ยังคงผิดข้อตกลง เหตุที่โจทก์ไม่ดำเนินคดีแก่จำเลยเป็นคดีอาญาก็เป็นสิทธิของโจทก์ พฤติกรรมของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ฟังยุติดังกล่าวจึงเป็นการทำร้ายหรือทรมานจิตใจโจทก์อย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) และพฤติกรรมดังกล่าวถือว่าทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงตาม มาตรา 1516 (6) ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาว่ามีเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (3) มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยประการนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการที่สองว่า จำเลยต้องแบ่งเงินจากการขายสร้อยคอเพชรและต่างหูเพชรกับทองคำแท่งและทองรูปพรรณให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งเงินที่ขายสร้อยคอและต่างหูเพชร 200,000 บาท และแบ่งทองคำแท่งและทองรูปพรรณ น้ำหนัก 20 บาทให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง จำเลยไม่อุทธรณ์ จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยที่ว่า ไม่มีเงินดังกล่าวและไม่มีทองคำแท่งกับทองรูปพรรณ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 7 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการที่สามว่า ที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน กับที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ 2 แปลง ตำบลดอยลาน จังหวัดเชียงราย พร้อมบ้านเป็นสินสมรสหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่า ไม่มีเหตุหย่าตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหย่า ก็หาจำต้องพิจารณาเรื่องสินสมรส ประกอบกับโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า จำเลยขายตึกแถวซึ่งจำเลยมีก่อนอยู่กินกับโจทก์ได้เงินมา 3,800,000 บาท นำเงินไปซื้อที่ดินที่บางโทรัด เงิน 3,800,000 บาท เป็นสินส่วนตัวหาใช่สินสมรส เมื่อนำไปซื้อทรัพย์ ทรัพย์นั้นจึงเป็นสินส่วนตัว ตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว ไม่ได้กล่าวถึงที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ 2 แปลงพร้อมบ้านข้างต้น นอกจากนี้ในชั้นสืบพยานจำเลยนั้น จำเลยก็นำสืบแต่เพียงว่าจำเลยนำเงินที่ได้มาจากการขายที่ดินไปซื้อที่ดินที่บางโทรัด ดังนั้นที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ 2 แปลงพร้อมบ้านไม่ใช่สินสมรส จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 7 ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในส่วนที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ 2 แปลงพร้อมบ้าน คงมีปัญหาเฉพาะที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน ว่าเป็นสินสมรสหรือไม่ จำเลยเบิกความว่า ที่ดินซึ่งตั้งอยู่ตำบลบางโทรัด อำเภอเมืองสมุทรสาคร นั้นจำเลยซื้อมาโดยเงินที่ได้จากการขายที่ดินส่วนตัวเป็นเงิน 3,800,000 บาท (ตามเอกสารแนบท้ายฎีกาที่โจทก์ไม่โต้แย้งคัดค้านคือที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 12429 อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งจำเลยได้มาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2526 และขายไปเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2549 ) โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า สำหรับที่ดินที่บางโทรัดนั้นจำเลยขายตึกที่จำเลยมีมาก่อนจะมาอยู่กินกับโจทก์ ได้เงินประมาณ 3,800,000 บาท นำไปซื้อที่ดินเปล่า 3 แปลงไม่ใช่ที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน คำเบิกความของโจทก์จึงเจือสมกับคำเบิกความของจำเลย ตามสำเนาโฉนดที่ดิน ได้มาเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2549 ตามสำเนาโฉนดที่ดิน ได้มาวันที่ 13 มกราคม 2549 ส่วนตามสำเนาโฉนดที่ดินได้มา เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2550 ซึ่งตามเอกสาร แนบท้ายฎีกาที่โจทก์ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่าที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ส่วนที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน มีสิ่งปลูกสร้าง ระยะเวลาที่ได้ที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน หลังจากที่โจทก์ขายที่ดินสินส่วนตัวไปเพียง 15 วัน 3 วัน 3 วัน และ 3 วันเท่านั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยนำเงินที่ได้จากการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปซื้อที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน ที่ดินทั้งสี่แปลงจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลย สำหรับที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน มีสิ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดิน ได้มาหลังจากจำเลยขายที่ดินสินส่วนตัวเป็นเวลา 1 ปีเศษ จำเลยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นสินส่วนตัว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาในปัญหานี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยประการนี้ฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า จำเลยต้องจ่ายค่าทดแทนให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด คดีนี้โจทก์ไม่ได้นำสืบว่าสมควรได้รับค่าทดแทนเพียงใด ทั้งคำฟ้องก็ไม่ได้บรรยายถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าโจทก์สมควรได้ค่าตอบแทนเพียงใด คงแต่มีคำขอท้ายฟ้องว่าให้จำเลยจ่ายค่าทดแทนแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามมาตรา 1525 เท่านั้น โดยไม่ได้กำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนอันจะต้องชำระค่าขึ้นศาลมาในคำขอท้ายฟ้อง จึงเป็นคำฟ้องที่ขาดสาระสำคัญแห่งคดีที่จะให้จำเลยรับผิดใช้ค่าทดแทน ศาลไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ได้ค่าทดแทนในส่วนนี้ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระค่าทดแทนจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ดังนั้นจำเลยไม่ต้องชำระค่าทดแทนตามที่ศาลล่างพิพากษา
อนึ่ง ทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์และฎีกามีไม่ถึง 4,000,000 บาท เนื่องจากศาลชั้นต้นยกคำขอที่ให้แบ่งที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน และให้แบ่งทองคำแท่งกับทองรูปพรรณเพียงน้ำหนัก 20 บาท กับแบ่งเงินที่ขายเครื่องเพชรเพียง 200,000 บาท (ฟ้องขอเป็นเงิน 325,000 บาท) จำเลยชำระค่าขึ้นศาลจากทุนทรัพย์ 4,000,000 บาท จึงเกินมา เห็นควรคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่ชำระเกินมาคือกึ่งหนึ่งของราคาที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน และกึ่งหนึ่งของราคาทองคำแท่งกับทองรูปพรรณน้ำหนัก 5 บาท กับค่าเครื่องเพชรกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 225,000 บาท นอกจากนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จำเลยชำระให้แก่โจทก์เป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 วรรคสอง จึงไม่ต้องนำมาหักกับจำนวนเงินที่จำเลยต้องชำระตามคำพิพากษา
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้แบ่งที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดิน ด้วยและจำเลยไม่ต้องชำระ ค่าทดแทนจำนวน 500,000 บาท สำหรับค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จำเลยชำระให้โจทก์ไม่ต้องนำมาหักกับเงินที่ต้องชำระ 222,750 บาท คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาที่จำเลยชำระเกินมาแก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ