คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3019/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 5072 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ล. ย. และ ป. ต่อมา ย. และ ป. ยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ โจทก์มาฟ้องคดีนี้อ้างว่าจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จในคดีก่อนเป็น 2 ประการ คือคำเบิกความที่ว่า ย. และ ป. มีกรรมสิทธิ์ภายในที่ดินโฉนดเลขที่ 5072 ด้วยประการหนึ่งและคำเบิกความที่ว่า ย. และ ป. ยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ได้ ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกิน 10 ปีแล้ว อีกประการหนึ่งในการไต่สวนมูลฟ้องคดีนี้ได้ความว่า ย. และ ป. มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวโดยการแบ่งแยกการครอบครองแล้ว ดังนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าคำเบิกความของจำเลยทั้งสองในประการแรกเป็นความเท็จและเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ไม่ได้เข้าเป็นคู่ความในคดีก่อน และคำฟ้องโจทก์ในคดีนี้ก็มิได้กล่าวว่าโจทก์มีส่วนได้เสียหรือมีสิทธิในที่ดินของ ย. และ ป. อย่างไร คำเบิกความของจำเลยทั้งสองในประการที่ 2 จึงไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ และคำฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏเหตุที่ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากคำเบิกความของจำเลยทั้งสอง ข้อที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินส่วนของ ย.และ ป. นั้น เป็นการนำสืบนอกเหนือจากที่กล่าวในฟ้องคำเบิกความของจำเลยทั้งสองที่บางส่วนไม่เป็นเท็จบางส่วนไม่ทำให้โจทก์เสียหายเช่นนี้คดีโจทก์จึงไม่มีมูล

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า คดีเดิมจำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๐๗๒ เป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ นางล้วน บุญยจิตร์ นางสาวยวง นาคบุญหรือนากบุญ และนางไปล่ นาคบุญหรือนากบุญ นางสาวยวงและนายไปล่ได้ยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนเนื้อที่ ๓๕ ไร่๑ งาน ๒๘ ตารางวา ให้จำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๑ ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ในคดีเดิมนั้นจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จต่อศาลว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๐๗๒ นางสาวยวง และนายไปล่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ประการหนึ่ง และนางสาวยวง และนายไปล่ได้ยกที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ได้ครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว อีกประการหนึ่ง คำเบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดี ทำให้ศาลเชื่อและมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนี้เฉพาะส่วนของนางสาวยวงและนายไปล่ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๑๗๗
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ตามทางไต่สวนได้ความว่าเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๒๔ จำเลยทั้งสองได้เบิกความในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๖๐/๒๕๒๔ (หมายเลขแดงที่ ๒๗๐/๒๕๒๔) ของศาลชั้นต้น โดยจำเลยที่ ๑ เบิกความว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๐๗๒ตำบลโพพระ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ ๗๙ ไร่ มีชื่อนางล้วน โจทก์ นางสาวยวงและนายไปล่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์นางสาวยวงและนายไปล่ได้ยกที่ดินส่วนของตนให้แก่จำเลยที่ ๑ เมื่อ๓๐ ปีมาแล้ว จำเลยที่ ๑ ได้เข้าครอบครองมาเกินกว่า ๑๐ ปี ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงนางสาวยวงและนายไปล่ไม่เคยยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เลย จำเลยที่ ๑ ก็ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินดังกล่าว จำเลยที่ ๒ ได้เบิกความเป็นพยานจำเลยที่ ๑ ว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำนาแปลงดังกล่าว ๑๐ กว่าปี ความจริงจำเลยที่ ๑ไม่เคยทำนาแปลงดังกล่าว การเบิกความดังกล่าวของจำเลยทั้งสองเป็นข้อสำคัญในคดีทำให้ศาลหลงเชื่อและมีคำสั่งว่า ที่ดินส่วนของนางสาวยวงและนายไปล่ตกเป็นของจำเลยที่ ๑เจ้าพนักงานที่ดินได้ใส่ชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนนางสาวยวงและนายไปล่ คำเบิกความของจำเลยทั้งสองปรากฏอยู่ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๗๐/๒๕๒๔ ของศาลชั้นต้น
ปัญหาวินิจฉัยว่า คดีของโจทก์มีมูลที่จะประทับฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่ ตามคำฟ้องของโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จนั้นแยกได้เป็นสองประการคือ คำเบิกความที่ว่า นางสาวยวงและนายไปล่มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๐๗๒ ตำบลโพพระ อำเภอเมืองจังหวัดเพชรบุรี ประการหนึ่งซึ่งโจทก์ฟ้องอ้างว่าเป็นเท็จ เพราะนางสาวยวงและนายไปล่ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว แต่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์เบิกความว่า นางสาวยวงและนายไปล่เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยแบ่งแยกการครอบครองและตามสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๐๗๒ ที่เจ้าพนักงานที่ดินส่งมาตามคำสั่งเรียกของศาล ก็ปรากฏว่าในวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๒๔ อันเป็นวันที่จำเลยทั้งสองเบิกความนั้นมีชื่อนางสาวยวงและนายไปล่อยู่ในโฉนดที่ดินดังกล่าว ข้อเท็จจริงจากการนำสืบในชั้นไต่สวนของโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าคำเบิกความของจำเลยทั้งสองในส่วนนี้เป็นเท็จ อีกประการหนึ่งที่โจทก์อ้างว่า จำเลยทั้งสองเบิกความเท็จคือคำเบิกความที่ว่านางสาวยวงและนายไปล่ได้ยกที่ดินให้จำเลยที่ ๑และจำเลยที่ ๑ ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกิน ๑๐ ปี ในคดีที่จำเลยทั้งสองเบิกความนั้นโจทก์มิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย และคำเบิกความของจำเลยทั้งสองในส่วนนี้ก็เพียงเฉพาะส่วนที่เป็นที่ดินของนางสาวยวงและนายไปล่มิได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินส่วนของโจทก์ ทั้งโจทก์ก็เบิกความไว้แล้วว่า ที่ดินที่พิพาทได้แบ่งแยกการครอบครองเรียบร้อยแล้วคำเบิกความของจำเลยทั้งสองส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินของนางสาวยวงและนายไปล่จะเป็นจริงหรือไม่ก็ไม่กระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่แต่อย่างใด โจทก์มิได้กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้องเลยว่า โจทก์มีส่วนได้เสียหรือมีสิทธิในที่ดินของนางสาวยวงและนายไปล่อย่างไรโจทก์ได้เป็นผู้ครอบครองที่ดินของคนทั้งสองหรือไม่ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ปรากฏเหตุที่ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากคำเบิกความของจำเลยทั้งสอง ข้อที่โจทก์นำสืบมาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินส่วนของนางสาวยวงและนายไปล่นั้นเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบนอกเหนือจากที่กล่าวในฟ้อง จึงนำมาพิจารณาประกอบคำฟ้องไม่ได้ ในเมื่อคำเบิกความของจำเลยทั้งสองบางส่วนไม่เป็นเท็จและบางส่วนไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเช่นนี้ คดีของโจทก์จึงไม่มีมูลที่ศาลจะประทับฟ้องไว้พิจารณา ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share