แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยและครอบครัวเข้าอยู่ในบ้านพิพาทโดยอาศัยโจทก์ แม้จะอยู่มาเกิน 10 ปี ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยฎีกาว่าจำเลยซื้อบ้านพิพาทจากโจทก์ในราคา 8,000 บาท เมื่อปี 2516จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทแล้วจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อคดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีผลบังคับก่อนที่จำเลยยื่นฎีกา คู่ความจะฎีกาได้หรือไม่เพียงใด ต้องพิเคราะห์ตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะยื่นฎีกา ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1558ร่วมกับบุคคลอื่น โดยต่างครอบครองเป็นส่วนสัด เมื่อวันที่ 14เมษายน 2502 โจทก์ซื้อบ้านเลขที่ 19 ซึ่งอยู่ในที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองจากนางสาวแน่งน้อยและได้ให้จำเลยซึ่งเป็นน้องร่วมมารดาเดียวกันอยู่อาศัย ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2532โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกจากบ้านดังกล่าวแต่จำเลยไม่ออกโดยอ้างว่าซื้อบ้านจากโจทก์แล้ว ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านเลขที่ 19 ซอยสวนหลวงแขวงบางค้อ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และให้จำเลยรื้อถอนร้านค้าที่จำเลยต่อเติมเชิงลาดจากบ้านเลขที่ 21/1 ของนางดำให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไป
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ขายบ้านพิพาทพร้อมที่ดินให้จำเลยในราคา 8,000 บาท แต่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จำเลยได้ครอบครองบ้านพิพาทและที่ดินโดยสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของมา 17 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ ส่วนร้านค้าที่โจทก์ขอให้รื้อนั้นเป็นของจำเลย ปลูกสร้างต่อเนื่องจากบ้านเลขที่ 21/1 ในที่ดินที่จำเลยและน้องสาวใช้สิทธิครอบครองไม่ได้อาศัยสิทธิของโจทก์ บ้านพิพาทหากจะให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 300 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านพิพาทของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านโจทก์ดังกล่าว
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยและครอบครัวเข้าอยู่ในบ้านพิพาทโดยอาศัยโจทก์ แม้จะอยู่มาเกิน10 ปี ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์จำเลยฎีกาว่า จำเลยซื้อบ้านพิพาทจากโจทก์ในราคา 8,000 บาทเมื่อปี 2516 จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทแล้ว จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีผลบังคับก่อนที่จำเลยยื่นฎีกา คู่ความจะฎีกาได้หรือไม่ เพียงใดต้องพิเคราะห์ตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะยื่นฎีกา ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยมานั้นเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของจำเลย