แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การยึดหรืออายัดทรัพย์สินหรือเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายและไม่อาจตกลงกันในการคำนวณราคาทรัพย์สินเพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามตาราง 5 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หมายเลข 3และ 4 คู่ความที่เกี่ยวข้องจึงจะมีสิทธิเสนอเรื่องต่อศาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 296
การยึดทรัพย์ของจำเลยยังอยู่ในระหว่างการบังคับคดีเพื่อขายทอดตลาด ไม่ปรากฏว่าทรัพย์ของจำเลยที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ไม่มีการขายหรือจำหน่ายแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะเสนอเรื่องต่อศาลให้เพิกถอนการประเมินราคาทรัพย์ดังกล่าวของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน22,920,892.26 บาท พร้อมดอกเบี้ย ต่อมาโจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมแล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 8303 พร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารอพาร์ตเมนต์ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ 1 โดยประเมินราคาที่ดินไว้เป็นเงิน 24,500,000 บาท และประเมินราคาอาคารอพาร์ตเมนต์เป็นเงิน 10,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 34,500,000 บาท ปรากฏตามสำเนารายงานการยึดทรัพย์ ฉบับลงวันที่ 24 เมษายน 2540
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า ราคาทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินต่ำกว่าความเป็นจริง ราคาที่ดินและอาคารอพาร์ตเมนต์ของจำเลยที่ 1 ควรจะเป็นเงิน 74,807,200 บาท ขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าว และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาใหม่ตามราคาที่เป็นจริง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำร้องอยู่ในชั้นการประเมินราคาของเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงยังไม่มีการขายทอดตลาดและยังไม่อาจทราบได้ว่าจะขายได้ในราคาเท่าใด ซึ่งอาจเท่าราคาที่จำเลยที่ 1ประเมินเองก็ได้ หากขายทอดตลาดในราคาต่ำและปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยที่ 1ชอบที่จะร้องขอต่อศาลเพิกถอนได้ ในชั้นนี้เป็นเพียงการประเมินราคาทรัพย์จึงไม่อาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในระหว่างการบังคับคดี โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 8303 เนื้อที่350 ตารางวา พร้อมอาคารอพาร์ตเมนต์ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประเมินราคาทรัพย์ดังกล่าวรวมเป็นเงิน34,500,000 บาท โดยยังไม่มีการขายทอดตลาด
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิเสนอเรื่องต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296เพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาใหม่หรือไม่ ในปัญหานี้จำเลยที่ 1ฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิที่จะเสนอเรื่องต่อศาลให้เพิกถอนการประเมินราคาทรัพย์ดังกล่าวของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ตามตาราง 5 หมายเลข 3และ 4 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น เห็นว่า ตามตาราง 5ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีหมายเลข 3 และ 4 เป็นเรื่องการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ในกรณีเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายกับเมื่อยึดหรืออายัดเงินหรืออายัดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย ซึ่งกำหนดว่า การคำนวณราคาทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดเพื่อเสียค่าธรรมเนียมตามหมายเลข 3 และ 4 ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้กำหนด ถ้าไม่ตกลงกันให้คู่ความที่เกี่ยวข้องเสนอเรื่องต่อศาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 296 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่การยึดหรืออายัดทรัพย์สินหรือเงินดังกล่าวนั้นไม่มีการขายหรือจำหน่ายแล้วและไม่อาจตกลงกันในการคำนวณราคาทรัพย์สินเพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมคู่ความที่เกี่ยวข้องจึงจะมีสิทธิเสนอเรื่องต่อศาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 296 ได้ แต่คดีนี้การยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการบังคับคดีเพื่อขายทอดตลาด ไม่ปรากฏว่าทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ไม่มีการขายหรือจำหน่ายแล้ว ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิที่จะเสนอเรื่องต่อศาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 296 ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษายกคำร้องของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว
พิพากษายืน