คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1112/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามหมายบังคับคดีโดยทำการยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยรวมทั้งรับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด 25,500,000 บาท ไว้เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2544 เป็นการกระทำไปในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 278 ถือได้ว่าเงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลย เป็นเงินที่โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีจำนวนเพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในจำนวนเงินตามคำพิพากษาถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2544 อันเป็นวันขายทอดตลาดเท่านั้น หามีสิทธิคิดดอกเบี้ยถึงวันที่ 7 เมษายน 2546 ซึ่งเป็นวันที่คำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้บุริมสิทธิถึงที่สุดไม่ เพราะความล่าช้าจนถึงกำหนดวันดังกล่าวเกิดจากการต่อสู้คดีระหว่างโจทก์กับผู้ร้อง โดยจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 14,546,252.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 12,332,156.61 บาทนับถัดไปจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 1 ตุลาคม 2539) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก้โจทก์ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยออกขายทอดตลาด เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2544 ได้เงิน 25,500,000 บาท ครั้นวันที่ 20 ธันวาคม 2544 นายโกศลยื่นคำร้องอ้างว่าเป็นผู้ชำระบัญชีของจำเลยและขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิ 2,010,780 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ 819,475 บาท จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยก่อนเจ้าหนี้รายอื่น คำขออื่นให้ยก คดีถึงที่สุดวันที่ 7 เมษายน 2546
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีคำนวณดอกเบี้ยตามคำพิพากษาให้โจทก์นับแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2539 ถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2554 ซึ่งเป็นวันขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลย เป็นการไม่ถูกต้อง ที่ถูกจะต้องให้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยจนถึงวันที่ 7 เมษายน 2546 ซึ่งเป็นวันที่คดีที่ผู้ร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยลูกหนี้เสร็จสิ้นในวันที่ 7 ธันวาคม 2544 อันเป็นวันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดและรับเงินไว้แทนโจทก์ การคิดดอกเบี้ยของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่คิดถึงวันขายทอดตลาดชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่คำนวณดอกเบี้ยให้โจทก์ถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2544 และให้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2539 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 7 เมษายน 2546 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่า เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2544 เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยได้เงินมา 25,500,000 บาท ถือได้ว่าในวันนี้โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพียงถึงวันดังกล่าวเท่านั้น เห็นว่า การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามหมายบังคับคดีโดยทำการยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยรวมทั้งรับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด 25,500,000 บาท ไว้เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2544 เป็นการกระทำไปในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 278 ถือได้ว่าเงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยเป็นเงินที่โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีจำนวนเพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในจำนวนเงินตามตำพิพากษาถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2544 อันเป็นวันขายทอดตลาดเท่านั้น หามีสิทธิคิดดอกเบี้ยถึงวันที่ 7 เมษายน 2546 ซึ่งเป็นวันที่คำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้บุริมสิทธิถึงที่สุดไม่ เพราะความล่าช้าจนถึงกำหนดวันดังกล่าวเกิดจากการต่อสู้คดีระหว่างโจทก์กับผู้ร้องโดยจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องการให้จำเลยต้องรับผิดในดอกเบี้ยจนถึงวันดังกล่าวย่อมไม่เป็นธรรมแก่จำเลยฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share