แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองใช้เลื่อยยนต์เป็นเครื่องมือในการแปรรูปไม้ซึ่งสามารถแปรรูปไม่ได้รวดเร็วและเป็นจำนวนมาก เป็นพฤติการณ์ที่ก่อให้เกิดภัยต่อทรัพยากรธรรมชาติของประเทศเป็นอย่างมากซึ่งเป็นการกระทำที่มีลักษณะร้ายแรง การที่ศาลล่างใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสองนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว
พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ไม่มีบทบัญญัติให้จ่ายสินบนกับรางวัล และปรากฏตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489มาตรา 7 และ 8 ว่าสินบนและรางวัลให้จ่ายจากเงินที่ได้จากการขายของกลางซึ่งศาลสั่งริบเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว หากของกลางที่ศาลสั่งริบนั้นไม่อาจขายได้ ให้จ่ายจากเงินค่าปรับที่ได้ชำระต่อศาล คดีนี้ไม่ปรากฏว่าไม่อาจขายของกลางได้ ดังนั้น ที่ศาลล่างพิพากษาให้จ่ายสินบนร้อยละสามสิบและจ่ายเงินรางวัลร้อยละยี่สิบของค่าปรับ ตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ นั้น จึงไม่ถูกต้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 48, 73, 74 ทวิ, 74 จัตวา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 2, 27 ทวิ พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 5, 6, 7, 8, 9 ริบของกลาง และจ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย และจ่ายรางวัลให้แก่ผู้จับกุมด้วย
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 73, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวา ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 33, 91 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 2, 27 ทวิพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 5, 6,7, 8, 9 เรียงกระทงลงโทษ ฐานแปรรูปไม้ จำคุกคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 2,000 บาทฐานมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองปรับคนละ 2,000 บาท ฐานความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ปรับคนละ 22,256 บาท รวมลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือนปรับคนละ 26,256 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 3 เดือน ปรับคนละ 13,128 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ของกลางริบ จ่ายสินบนนำจับกึ่งค่าปรับตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ และจ่ายสินบนนำจับร้อยละสามสิบ จ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบห้าของค่าปรับตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ จำนวน 11,128 บาท
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 73 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ ลงโทษตามมาตรา 27 ทวิ ปรับจำเลยทั้งสองรวมกัน 22,256บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงปรับจำเลยทั้งสองรวมกันตามมาตรา 27 ทวิ 11,128 บาทโทษจำคุกไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสองหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสองใช้เลื่อยยนต์เป็นเครื่องมือในการแปรรูปไม้ซึ่งสามารถแปรรูปไม้ได้รวดเร็วและเป็นจำนวนมากอันเป็นพฤติการณ์ที่ก่อให้เกิดภัยต่อทรัพยากรธรรมชาติของประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นการกระทำที่มีลักษณะร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสองนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว และเมื่อได้วินิจฉัยดังนี้แล้วสำหรับความผิดฐานแปรรูปไม้นั้นให้คงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 6 เดือน สถานเดียว โดยไม่ปรับด้วย ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่ให้จ่ายสินบนร้อยละสามสิบจ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบห้าของค่าปรับ ตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ นั้นปรากฏว่าพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ไม่มีบทบัญญัติให้จ่ายสินบนกับรางวัล และปรากฏตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 7 และ 8 ว่า สินบนและรางวัลให้จ่ายจากเงินที่ได้จากการขายของกลางซึ่งศาลสั่งริบเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว หากของกลางที่ศาลสั่งริบนั้นไม่อาจขายได้ ให้จ่ายจากเงินค่าปรับที่ได้ชำระต่อศาล ซึ่งคดีนี้ไม่ปรากฏว่าไม่อาจขายของกลางได้ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามาจึงยังไม่ถูกต้องตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า เรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานแปรรูปไม้ จำคุกคนละ 6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 เดือน เมื่อรวมโทษจำเลยทั้งสองแล้วคงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 เดือน ปรับคนละ 1,000 บาทส่วนฐานความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร ปรับจำเลยทั้งสองรวมกัน 11,128 บาท ให้จ่ายสินบนร้อยละสามสิบและจ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบห้าของราคาของกลางที่ศาลสั่งริบตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิดตาม พ.ศ. 2489 มาตรา 7 และ 8 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1