คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 127/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยนำเช็คของลูกค้าจำเลยมาขายโจทก์ ต่อมาโจทก์บอกให้จำเลยนำเงินไปชำระมิฉะนั้นจะให้เจ้าพนักงานตำรวจจัดการ จำเลยจึงไปตรวจสอบหนี้สินกับโจทก์ ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 496,000 บาท จำเลยได้ชำระหนี้เป็นเงินสดบางส่วน ส่วนหนี้ที่เหลืออีก 450,000 บาท โจทก์ให้จำเลยชำระเดือนละ 45,000 บาท โดยจำเลยออกเช็คให้โจทก์ไว้เช็คที่จำเลยออกให้โจทก์จึงเป็นเช็คชำระหนีตามปกติ มิใช่เช็คออกเพื่อประกันหนี้ เมื่อขึ้นเงินหรือเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ จำเลยก็ต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 (1)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษและขอให้นับโทษต่อ ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษโดยไม่ได้นับโทษต่อให้ โจทก์ไม่ฎีกาหรือแก้ฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์ไม่นับโทษต่อ ศาลฎีกาจึงไม่นับโทษต่อให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑ กับขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีหมายเลขแดงที่ ช.๑๐๑๙๐/๒๕๒๙ และคดีหมายเลขแดงที่ ช.๑๗๗๘/๒๕๒๙ ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ (๑) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ให้เรียงกระทงลงโทษ จำคุกกระทงละ ๓ เดือน รวมสองกระทงจำคุก ๖ เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบตรงกันฟังได้ว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับนี้ให้โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ จึงมีปัญหาว่าการกระทำของจำเลย เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คหรือไม่ จำเลยอ้างว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดเพราะเป็นเช็คที่ออกมาเพื่อประกันหนี้ที่จำเลยค้างชำระโจทก์ โดยจำเลยนำสืบว่า เดิมทีจำเลยเคยเอาเช็คของลูกค้าของโรงงานจำเลยมาขายโจทก์ต่อมาโจทก์บอกให้จำเลยนำเงินไปชำระมิฉะนั้นจะให้เจ้าพนักงานตำรวจจัดการ จำเลยจึงไปตรวจสอบหนี้สินกับโจทก์ ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน ๔๙๖,๐๐๐ บาท จำเลยได้ชำระหนี้เป็นเงินสด๔๐,๐๐๐ บาทเศษ คงเหลือเป็นหนี้เป็นเงิน ๔๕๐,๐๐๐ บาท โจทก์ให้จำเลยผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ ๔๕,๐๐๐ บาท ให้จำเลยออกเช็คค้ำประกันรวม ๘ ฉบับ นอกจากนี้ยังให้บิดามารดาและพี่สาวจำเลยออกเช็คค้ำประกันให้ด้วย ตามที่จำเลยนำสืบมาว่าได้หักทอนบัญชีกันแล้วจำเลยคงเป็นหนี้โจทก์ ๔๕๐,๐๐๐ บาท โจทก์จึงให้จำเลยชำระหนี้เดือนละ ๔๕,๐๐๐ บาท โดยจำเลยออกเช็คให้โจทก์ไว้ เห็นว่า เช็คที่จำเลยออกให้โจทก์นี้เป็นเช็คชำระหนี้ตามปกติ ไม่ได้เป็นเช็คประกันอย่างที่จำเลยคิดหรืออ้างเป็นข้อต่อสู้ ซึ่งเมื่อขึ้นเงินหรือเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้จำเลยก็ต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓(๑)ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีหมายเลขแดงที่ ช.๑๐๑๙๐/๒๕๒๙และคดีหมายเลขแดงที่ ช.๑๗๗๘/๒๕๒๙ ของศาลชั้นต้นนั้น เนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยไม่นับโทษต่อให้ โจทก์ไม่ฎีกาหรือแก้ฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์ไม่นับโทษต่อ ศาลฎีกาจึงไม่นับโทษต่อให้
พิพากษายืน.

Share