คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 300/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นนายอำเภอ จึงเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2และเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วยในการจับกุมปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับป่าสงวนแห่งชาติจำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจสืบสวนสอบสวนความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ ความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ หรือความผิดอาญาอื่นใดที่เกิดขึ้นภายในเขตอำนาจของตนได้ระเบียบของกระทรวงมหาดไทยที่ให้ตำรวจเป็นผู้ทำการสอบสวนฝ่ายเดียวนั้นเป็นแต่ระเบียบภายในกระทรวง หาได้ลบล้างอำนาจตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ไปจับกุมผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ ป่าไม้และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติด้วยตนเองได้ทั้งผู้ต้องหาและไม้กับรถยนต์มาเป็นของกลาง การที่จำเลยที่ 1 สั่งให้สิบตำรวจเอกพ. ทำบันทึกว่าได้แต่ไม้ของกลางอย่างเดียว แสดงว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์จะช่วยผู้กระทำความผิดไม่ให้ต้องรับโทษและในการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยผู้ต้องหาไปนั้น จำเลยที่ 1 ได้เป็นผู้สั่งการและรู้เห็นด้วย การกระทำของจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 จำเลยที่ 2 เป็นป่าไม้อำเภอ ได้ร่วมไปจับกุมผู้ต้องหากับจำเลยที่ 1 ด้วย ชั้นแรกจำเลยที่ 2 ได้ให้สิบตำรวจเอก พ. เขียนบันทึกการจับกุมว่าได้ผู้ต้องหา 7 คน แต่ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้สั่งให้ทำบันทึกการจับกุมขึ้นใหม่ว่าจับผู้ต้องหาไม่ได้เลย และให้ผู้ร่วมจับกุมรวมทั้งจำเลยที่ 2 ลงชื่อไว้ การที่จำเลยที่ 2 ยอมลงชื่อในบันทึกการจับกุมฉบับหลังนั้น จำเลยที่ 2 ย่อมทราบอยู่แล้วว่าบันทึกฉบับนี้ทำขึ้นฝ่าฝืนต่อความจริงเพื่อจะช่วยเหลือผู้ต้องหาที่ถูกจับมิให้ต้องรับโทษ จำเลยที่ 2 ทราบดีว่าคำสั่งของจำเลยที่ 1 เป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 จะอ้างว่ากระทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาหาได้ไม่ จำเลยที่ 2 ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ด้วย ทั้งจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นสารวัตรปกครองป้องกัน และจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนต่างทราบแล้วว่า ผู้ต้องหาทั้ง 7 คนที่ถูกจับมาต้องหาว่ากระทำผิดฐานลักลอบตัดไม้ในป่า แต่แทนที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 จะดำเนินคดีแก่ผู้ต้องหาในข้อหาดังกล่าว จำเลยที่ 3 กลับตั้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาเหล่านี้ว่ากระทำผิดฐานขับขี่รถยนต์ไม่มีใบอนุญาตขับขี่และไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนติดตัวและให้จำเลยที่ 4 ทำการเปรียบเทียบปรับแล้วปล่อยผู้ต้องหาและรถของกลางไป การกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4จึงเป็นการกระทำการในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบเพื่อจะช่วยเหลือผู้กระทำผิดมิให้ต้องรับโทษ จำเลยที่ 3 ที่ 4 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 และที่จำเลยที่ 3ที่ 4 อ้างว่าปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชานั้นเมื่อคำสั่งของผู้บังคับบัญชาในเรื่องนี้มิใช่คำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายซึ่งจำเลยที่ 3 ที่ 4 ทราบดีอยู่แล้วจึงจะอ้างมาเป็นเหตุยกเว้นโทษหาได้ไม่ จำเลยที่ 5 เป็นสารวัตรใหญ่ซึ่งทราบดีว่าในการจับกุมผู้ลักลอบตัดไม้รายนี้ นอกจากไม้แล้วยังได้ตัวผู้ต้องหาและได้รถยนต์บรรทุกไม้มาเป็นของกลางด้วย แต่จำเลยที่ 5กลับบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าไม่มีผู้กระทำผิดและให้มีการเปรียบเทียบปรับผู้ต้องหาในข้อหาอื่นที่มิใช่ข้อหาเกี่ยวกับการลักลอบตัดไม้ และเป็นผู้สรุปความเห็นให้งดการสอบสวนเสนอต่อผู้กำกับการตำรวจว่าจับไม้ไม่ได้ตัวผู้กระทำผิด ได้แต่ไม้ของกลาง การกระทำของจำเลยที่ 5 ดังกล่าวจึงเป็นการร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ช่วยเจ้าของรถยนต์เจ้าของไม้ และช่วยผู้ต้องหาที่ถูกจับมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนายอำเภอ จำเลยที่ 2 เป็นป่าไม้อำเภอจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 เป็นพนักงานสอบสวน จำเลยทั้งห้าเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมาย คือ

ก. จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 กับตำรวจอีกหลายนายได้จับกุมนายหนูกรกับพวกรวม 12 คน ในข้อหาทำไม้ในเขตป่าสงวนและมีไม้หวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาตพร้อมด้วยไม้หวงห้าม 34 ท่อน รถ 10 คัน เป็นของกลางนำส่งจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นร้อยเวรและพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการต่อไปตามกฎหมายต่อมาจำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันทำให้เสียหายและเอาไปเสียโดยปล่อยผู้ต้องหาและรถดังกล่าวซึ่งเป็นหลักฐานในการกระทำผิดไป ไม่ดำเนินคดีตามอำนาจหน้าที่อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยทุจริตเพื่อจะช่วยเจ้าของรถยนต์เจ้าของไม้ และนายหนูกรกับพวกซึ่งถูกจับมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง

ข. จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันจดข้อความเท็จลงในบันทึกประจำวันอันเป็นเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานว่าได้จับกุมนายหนูกรกับพวกในข้อหาขับรถยนต์ไม่มีใบขับขี่และไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนได้ทำการเปรียบเทียบปรับและปล่อยบุคคลดังกล่าวไป ซึ่งจำเลยที่ 3 ที่ 4 ต้องลงบันทึกประจำวันและดำเนินคดีแก่บุคคลดังกล่าวในข้อหาทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและมีไม้หวงห้ามไว้ในครอบครองไม่รับอนุญาต ทั้งนี้โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่กรมป่าไม้และประชาชน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 200, 267, 83

จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 จำเลยที่ 3 ที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 และมาตรา 267 ให้ลงโทษตามมาตรา 200ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกจำเลยทั้งห้าและลดโทษให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 คนละหนึ่งในสามคำขออื่นให้ยก

จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 กับให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5

โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นสารวัตรใหญ่ทราบดีว่าผู้ต้องหาที่จ่าสิบตำรวจสุเมธและพวกนำมามอบให้จำเลยที่ 4 นั้นต้องหาว่าลักลอบตัดไม้ตามที่จำเลยที่ 1 ขอกำลังตำรวจไปจับกุม และได้สั่งจำเลยที่ 3 ให้เป็นผู้กล่าวหาในคดีเปรียบเทียบปรับเรื่องขับรถยนต์ไม่มีใบอนุญาตขับขี่และไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน หลังจากนั้นจำเลยที่ 5 เป็นผู้สรุปความเห็นให้งดการสอบสวนไปยังผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานีว่าจับไม้ไม่ได้ตัวผู้กระทำผิด ได้แต่ไม้ของกลาง ซึ่งจำเลยที่ 5 ทราบดีว่านอกจากไม้แล้วยังได้ตัวผู้ต้องหาและได้รถยนต์มาเป็นของกลางด้วย แต่จำเลยที่ 5 กลับบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าไม่มีผู้กระทำความผิดและให้มีการเปรียบเทียบปรับผู้ต้องหาในข้อหาอื่นซึ่งมิใช่ข้อหาเกี่ยวกับการลับลอบตัดไม้ การกระทำของจำเลยที่ 5 ดังกล่าวจึงเป็นการร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ช่วยเจ้าของรถยนต์ เจ้าของไม้และช่วยผู้ต้องที่ถูกจับมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200

จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า แม้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายอำเภอจะมีอำนาจสืบสวนคดีอาญาที่เกิดขึ้นภายในเขตอำนาจของตนได้ แต่กระทรวงมหาดไทยได้วางระเบียบให้ตำรวจเป็นผู้ทำการสอบสวนฝ่ายเดียว ฉะนั้นนายอำเภอจึงไม่มีอำนาจหน้าที่จึงมิใช่เป็นเจ้าพนักงาน ไม่เข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2, 17, 18 ได้บัญญัติให้ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมีอำนาจสืบสวนคดีอาญาและมีอำนาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิด หรืออ้าง หรือเชื่อว่าได้เกิดภายในเขตอำนาจของตนได้ นอกจากนี้พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 5 ยังให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรได้ออกประกาศลงวันที่2 ธันวาคม 2507 แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งนายอำเภอให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัตินี้ได้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วยในการจับกุมปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าไม่มีอำนาจหน้าที่หาได้ไม่ ระเบียบของกระทรวงมหาดไทยที่จำเลยที่ 1 อ้างเป็นแต่ระเบียบภายในกระทรวง หาได้ลบล้างอำนาจตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่

จำเลยที่ 1 เป็นผู้ไปจับผู้ลับลอบตัดฟันไม้มาแต่ต้นย่อมทราบดีว่าในการจับไม้ของกลางนี้ได้ทั้งคนมาเป็นผู้ต้องหาและรถยนต์ซึ่งเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำไม้มาเป็นของกลางด้วย จำเลยที่ 1 กลับสั่งให้สิบตำรวจเอกพลากรทำบันทึกว่าได้แต่ไม้ของกลางอย่างเดียวส่วนคนและรถยนต์จับกุมไม่ได้ แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ประสงค์จะช่วยผู้ที่ทำไม้และผู้ต้องหาที่ถูกจับมามิให้ต้องรับโทษ ศาลฎีกาเชื่อว่าในการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยผู้ต้องหาที่จ่าสิบตำรวจสุเมธคุมมาจากป่า จำเลยที่ 1 ได้เป็นผู้สั่งการและรู้เห็นด้วยการกระทำของจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200

ในการไปจับกุมผู้ลักลอบตัดไม้ในป่าสงวนแห่งชาติของจำเลยที่ 1 ที่ 2และพวกนั้น ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ดังกล่าวยึดได้รถยนต์บรรทุกไม้ 8 คัน รถแทรกเตอร์1 คัน รถจี๊ป 1 คัน ได้ผู้ต้องหา 7 คน และได้ไม้ท่อน 34 ท่อนเป็นของกลาง ชั้นแรกจำเลยที่ 2 ได้ให้สิบตำรวจเอกพลากรเขียนบันทึกการจับกุมว่าได้ผู้ต้องหา 7 คนและได้รถบรรทุกไม้ 8 คัน รถแทรกเตอร์ 1 คัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้สั่งให้ทำบันทึกการจับกุมขึ้นใหม่ว่าจับผู้ต้องหาไม่ได้เลย คงได้แต่ไม้ของกลาง และได้ให้ผู้ร่วมจับกุมทั้งหมดรวมทั้งจำเลยที่ 2 ลงชื่อไว้ ส่วนผู้ต้องหาที่จับมา จำเลยที่ 3 ที่ 4 ได้เปรียบเทียบปรับและปล่อยไปก่อนแล้วโดยแจ้งข้อหาแต่เพียงว่าขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่และไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 2 ทราบดีว่าผู้ต้องหาที่จับมาต้องหาว่ากระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ในการที่จำเลยที่ 2ย่อมลงชื่อในบันทึกการจับกุมฉบับที่ 2 นั้น จำเลยที่ 2 ย่อมทราบอยู่แล้วว่า บันทึกฉบับนี้ทำขึ้นฝ่าฝืนต่อความจริงเพื่อจะช่วยเหลือผู้ต้องหาที่ถูกจับมิให้ต้องรับโทษจำเลยที่ 2 ทราบดีว่าคำสั่งของจำเลยที่ 1 เป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2จะอ้างว่ากระทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาหาได้ไม่ จำเลยที่ 2 ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ด้วย

จำเลยที่ 3 ได้ทราบก่อนที่จะไปดูที่เกิดเหตุว่า ผู้ต้องหาที่จับมาได้นั้นต้องหาว่ากระทำผิดฐานลักลอบตัดไม้ในป่า แต่แทนที่จำเลยที่ 3 จะดำเนินคดีฐานลักลอบตัดไม้ตามที่ทราบ จำเลยที่ 3 กลับเป็นคนตั้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ที่ถูกจับมานี้ว่ากระทำผิดฐานขับขี่รถยนต์ไม่มีใบอนุญาตขับขี่และไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนติดตัวแล้วเปรียบเทียบปรับ ปล่อยตัวผู้ต้องหาและคืนของกลางไป การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการร่วมกับผู้อื่นทำการช่วยเหลือผู้กระทำผิดมิให้ต้องรับโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200 ด้วย ที่จำเลยอ้างว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้กล่าวหาโดยเชื่อโดยสุจริตว่ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชานั้น เห็นว่า คำสั่งของผู้บังคับบัญชาในเรื่องนี้มิใช่เป็นคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายซึ่งจำเลยที่ 3 ทราบดีอยู่แล้วว่า จำเลยที่ 3 จะอ้างมาเป็นเหตุยกเว้นโทษหาได้ไม่

จำเลยที่ 4 ทราบดีว่า ผู้ต้องหาทั้ง 7 คนต้องหาว่ากระทำผิดฐานลักลอบตัดไม้ส่วนรถของกลางก็เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการกระทำผิดของผู้ต้องหาที่ถูกจับได้การที่จำเลยที่ 4 ทำการเปรียบเทียบในความผิดฐานขับรถยนต์ไม่มีใบอนุญาตขับขี่และไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนติดตัว ไม่ดำเนินคดีในความผิดฐานลักลอบตัดไม้แล้วปล่อยผู้ต้องหาและรถของกลางไปเช่นนี้ จำเลยที่ 4 กระทำการในฐานะที่เป็นพนักงานสอบสวน กระทำการในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบเพื่อจะช่วยบุคคลอื่นมิให้ต้องรับโทษ จำเลยที่ 4 ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200ที่จำเลยที่ 4 อ้างว่า จำเลยที่ 4 ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาได้รับยกเว้นโทษนั้นเห็นว่าคำสั่งของผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 4 เป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมายซึ่งจำเลยที่ 4 ทราบดีอยู่ก่อนแล้ว จำเลยที่ 4 จะอ้างมาเป็นเหตุยกเว้นโทษหาได้ไม่

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 5 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share