คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 30/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุ จ. และ ร. ต่างถือมีดพร้าซึ่งยาวประมาณ 1 วา อยู่ในมือ จ. อยู่ห่างจากผู้เสียหายประมาณ2 วาเท่านั้น หาก จ. และ ร. ต้องการฆ่าผู้เสียหายจริงระยะที่อยู่ห่างกันเพียงนี้ จ. น่าจะฟันถูกผู้เสียหายแม้ จ. ฟันไม่ถูกเพราะผู้เสียหายหลบ จ. และ ร. ก็ย่อมมีโอกาสใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายได้ แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่า จ. และ ร. ใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายอีกแม้โจทก์อ้างว่าขณะนั้นผู้เสียหายตกอยู่ในภยันตรายต่อชีวิตย่อมตกใจกลัวและวิ่งหนีอย่างสุดแรงจึงรอดพ้นจากการถูกพวก ของจำเลยฟันก็ตาม แต่ขณะนั้นผู้เสียหายนุ่งผ้าถุงและผู้เสียหายเป็นผู้หญิง อายุถึง 42 ปีเศษ ซึ่งตามสภาพย่อมวิ่งหนีไม่ถนัดและรวดเร็วมากนักทั้งระยะทางที่ผู้เสียหายวิ่งหนีจากบริเวณที่เกิดเหตุถึงบริเวณที่รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายจอดไกลถึง 27 เมตร ระยะทางดังกล่าวหาก จ.และ ร. เจตนาฆ่าผู้เสียหายแต่แรก บุคคลทั้งสองก็พร้อมจะวิ่งไล่ทันผู้เสียหายและฟันถูกผู้เสียหายอย่างแน่นอนแต่บุคคลทั้งสองมิได้ฟันผู้เสียหายอีก ย่อมแสดงว่าไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย น่าเชื่อว่าบุคคลทั้งสองมีเจตนาจะฟันขู่ผู้เสียหายเท่านั้น แม้จะได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายและเด็กหญิง พ. ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยร้องบอกให้จ. และ ร. ฆ่าผู้เสียหาย แต่เมื่อ จ. ฟันขู่ฆ่าผู้เสียหายเพียง 1 ครั้ง ส่วน ร. มิได้ฟันผู้เสียหายแต่อย่างใด คดีฟังได้ว่าการที่จำเลยร้องดังกล่าวเป็นเพียงการขู่ฆ่าผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 2 คน ซึ่งหลบหนีร่วมกันใช้มีดพร้าจำนวน 2 เล่ม เป็นอาวุธฟันศีรษะนางลมัย วังเงินผู้เสียหาย โดยเจตนาฆ่า แต่ผู้เสียหายหลบทันและวิ่งหนีจึงไม่ถูกฟัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 83 จำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานยืนยันว่าขณะเกิดเหตุนายจรินทร์อยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ 2 วา เมื่อผู้เสียหายได้ยินเสียงร้องของเด็กหญิงพรทิพย์ จึงเงยหน้าขึ้นเห็นนายจรินทร์ใช้มีดพร้าฟันลงมา ผู้เสียหายรีบหลบและวิ่งหนีไป และข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของเด็กหญิงพรทิพย์ประจักษ์พยานโจทก์อีกปากหนึ่งว่าก่อนเกิดเหตุนายจรินทร์ขอให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อเพื่อไปดำเนินการออกโฉนดที่ดิน ผู้เสียหายไม่ยอม นายจรินทร์กลับไปต่อมาสักครู่นายจรินทร์ นายจรัญ และจำเลยมาหาผู้เสียหายโดยนายจรินทร์ขอให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่ออีก เมื่อผู้เสียหายไม่ยอม นายจรินทร์จึงเงื้อมีดพร้าขึ้นฟันผู้เสียหายเห็นว่าก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายกับจำเลยมีคดีพิพาทเกี่ยวกับที่ดินนายจรินทร์ขอให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อเพื่อไปดำเนินการออกโฉนดที่ดิน ผู้เสียหายไม่ยอม นายจรินทร์กลับไปและกลับมาใหม่พร้อมนายจรัญและจำเลย นายจรินทร์ยังขอให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่ออีก แต่ผู้เสียหายไม่ยอม นายจรินทร์จึงใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายแต่ไม่ถูก เช่นนี้ เห็นได้ว่าขณะเกิดเหตุนายจรินทร์และนายจรัญ ต่างถือมีดพร้าซึ่งยาวประมาณ 1 วาในมือ นายจรินทร์อยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ 2 วาเท่านั้นหากนายจรินทร์และนายจรัญต้องการฆ่าผู้เสียหายจริงระยะที่อยู่ห่างกันเพียงนี้นายจรินทร์น่าจะฟันถูกผู้เสียหาย แม้นายจรินทร์ฟันไม่ถูกผู้เสียหายเนื่องจากผู้เสียหายหลบดังที่เบิกความ นายจรินทร์และนายจรัญย่อมมีโอกาสใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายได้ แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่า นายจรินทร์และนายจรัญใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายอีก ที่โจทก์อ้างว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายนุ่งผ้าถุง แต่ขณะนั้นผู้เสียหายตกอยู่ในภยันตรายต่อชีวิตย่อมตกใจกลัวและวิ่งหนีอย่างสุดแรงเป็นระยะทางประมาณ27 เมตร จึงรอดพ้นจากการถูกพวกของจำเลยฟันนั้น เห็นว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายตกใจกลัวและวิ่งหนีอย่างสุดแรงเพื่อให้พ้นจากการถูกฟัน แต่ขณะนั้นผู้เสียหายนุ่งผ้าถุงและผู้เสียหายเป็นผู้หญิงอายุถึง 42 ปีเศษ ซึ่งตามสภาพย่อมวิ่งหนีไม่ถนัดและรวดเร็วมากนัด ทั้งระยะทางที่ผู้เสียหายวิ่งหนีจากบริเวณที่เกิดเหตุถึงบริเวณที่รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายจอดไกลถึง27 เมตร เห็นได้ว่าระยะทางดังกล่าวหากนายจรินทร์และนายจรัญ มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายมาแต่แรก บุคคลทั้งสองก็พร้อมจะวิ่งไล่ทันผู้เสียหายและฟันถูกผู้เสียหายอย่างแน่นอน แต่บุคคลทั้งสองมิได้ฟันผู้เสียหายอีกย่อมแสดงว่านายจรินทร์และนายจรัญไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย คดีน่าเชื่อว่าบุคคลทั้งสองมีเจตนาจะฟันขู่ผู้เสียหายเท่านั้น แม้ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายและเด็กหญิงพรทิพย์ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยร้องบอกให้นายจรินทร์และนายจรัญฆ่าผู้เสียหาย แต่นายจรินทร์ฟันขู่ผู้เสียหายเพียง 1 ครั้ง ส่วนนายจรัญก็มิได้ฟันผู้เสียหายแต่อย่างใด คดีฟังได้ว่าจำเลยร้องดังกล่าวเป็นเพียงการขู่ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share