คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1114/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทนายความของจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามอำนาจที่ระบุไว้ในใบแต่งทนายความและในวันทำสัญญาดังกล่าว จำเลยก็มาศาลและทราบเงื่อนไขต่าง ๆ ในสัญญาด้วยหลังจากที่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว จำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วยเหตุที่อ้างว่าโจทก์และทนายจำเลยฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138(1)จนล่วงพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ และโจทก์ทำการยึดทรัพย์ที่จำนองของจำเลยแล้ว คำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 147 วรรคหนึ่ง และผูกพันโจทก์จำเลยตามมาตรา 145 วรรคหนึ่ง จำเลยย่อมไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์จำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยทั้งสองยอมชำระเงินให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยโดยวิธีผ่อนชำระเป็นรายเดือนภายใน 6 เดือน หากจำเลยทั้งสองผิดนัดให้ยึดที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่จำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาด และหากไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม แต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า สัญญาประนีประนอมยอมความขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และกระทำขึ้นด้วยเจตนาอันไม่สุจริตกับโดยการสมคบกันระหว่างโจทก์ และทนายจำเลยเพื่อฉ้อฉลจำเลยทั้งสองการบังคับคดีที่กระทำตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์และสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ทนายความของจำเลยทั้งสองทำยอมความตามอำนาจที่ระบุไว้ในใบแต่งทนายความ และจำเลยทั้งสองได้มาศาลในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความด้วย และศาลได้เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความชอบด้วยกฏหมายแล้ว จึงพิพากษาตามยอมให้คำพิพากษาย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 147 และมีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องอ้างว่าประนีประนอมยอมความไม่ชอบไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองเพียงประการเดียวว่า จำเลยทั้งสองมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความโดยอ้างว่า ได้กระทำขึ้นโดยร่วมกันระหว่างโจทก์และทนายจำเลยเพื่อฉ้อฉลจำเลยทั้งสองหรือไม่เห็นว่า ทนายความของจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามอำนาจที่ระบุไว้ในใบแต่งทนายความและในวันทำสัญญาดังกล่าวจำเลยทั้งสองก็มาศาลและทราบเงื่อนไขต่าง ๆ ในสัญญาด้วย นอกจากนั้นหลังจากที่จำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วยเหตุดังกล่าว จนพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์จนกระทั่งโจทก์ทำการยึดทรัพย์ที่จำนองของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยทั้งสองจึงเพิ่งมายื่นคำร้องอ้างว่าสัญญาประนีประนอมยอมความกระทำขึ้นเพื่อเป็นการฉ้อฉลจำเลยทั้งสอง สัญญาประนีประนอมยอมความจึงชอบด้วยกฏหมาย คำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 147 วรรคหนึ่งและผูกพันโจทก์จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและพิพากษายกคำร้องมานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share