คำสั่งคำร้องที่ 841/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเห็นว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงมีสิทธิระงับการสั่งจ่ายเงินตามเช็คได้ เป็นการพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงตามฎีกาของโจทก์ ฎีกาโต้เถียงเกี่ยวกับข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีนี้ ศาลแพ่งรับฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นการขายเหมา และพิพากษาให้โจทก์ได้รับชำระเงินตามราคาขายเหมาที่ระบุไว้ในเอกสาร ล.1 ฉะนั้นการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังในข้อที่จำเลยนำพยานบุคคลและพยานเอกสารมาสืบว่าที่ดินขาดไป 136 ตารางวา จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายลักษณะพยานโดยชัดแจ้ง ฎีกาของโจทก์จึงเป็นการฎีกาในข้อกฎหมาย การที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบ โปรดรับฎีกาของโจทก์
หมายเหตุ จำเลยยื่นคำแก้ฎีกาคำสั่ง (อันดับ 73)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล มีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 68)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 70)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง โดยฟังว่าจำเลยมิได้มีเจตนาห้ามการจ่ายเงินโดยทุจริต แต่มีเหตุผลอันสมควรเกี่ยวกับการแปลความตามสัญญาซื้อขาย จำเลยฎีกาว่าเป็นการขายเหมาไม่ต้องแปลความ เท่ากับให้ฟังว่าจำเลยเจตนาทุจริตในการระงับการจ่ายเงินตามเช็ค จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง

Share