แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยต้องคำพิพากษาให้จำคุกไม่ต่ำกว่า 6 เดือนมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ปรากฏว่าสองคดีก่อน จำเลยพ้นโทษไปก่อนวันใช้พระราชบัญญัติล้างมลทิน ฯ จำเลยจึงได้รับการล้างมลทินหมดไปแล้วตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทิน ฯ พ.ศ. 2499 จะถือว่าจำเลยเคยต้องคำพิพากษาลงโทษจำคุกมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ครั้งไม่ได้ ดังนี้ ศาลย่อมไม่มีอำนาจพิพากษาให้กักกันจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41
ย่อยาว
คดีนี้  โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์  (ล้วงกระเป๋า)  ขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔, ๓๓๗ จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกมาแล้วเกินกว่า ๖ เดือน  ฐานลักทรัพย์มาก่อนแล้วรวม ๓ ครั้ง  ขอให้ลงโทษ  เพิ่มโทษ และกักกันจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา   ๔๑, ๙๓
จำเลยให้การปฏิเสธ  แต่รับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษมาแล้วตามฟ้องจริง
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยเป็นคนร้ายล้วงกระเป๋าตามโจทก์ฟ้องจริง  พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๓๓๔ ให้จำคุก ๘ เดือน   จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกไม่ต่ำกว่า  ๖ เดือน  มากระทำผิดซ้ำในอนุมาตราเดียวกันภายใน ๓ ปี  นับแต่วันพ้นโทษ  ให้เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งจำคุก ๑ ปี  และจำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า ๖ เดือน  ในความผิดประเภทเดียวกันตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๔๑ (๘)  มาแล้วถึง ๓ ครั้ง  และมากระทำผิดในคดีนี้อีกอันเป็นประเภทเดียวกัน  กรณีถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดติดนิสัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๔๑  เมื่อพ้นโทษจำคุกแล้วให้ส่งตัวจำเลยไปกักกัน ๓ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาข้อกฎหมายเฉพาะข้อที่ศาลอุทธรณ์  พิพากษาให้กักกันจำเลยว่า ก่อนคดีนี้จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์เกิน ๖ เดือน  มาแล้ว ๓ ครั้ง  พ้นโทษคดีสุดท้ายมาจนถึงวันกระทำผิดคดีนี้ยังไม่เกิน ๑๐ ปี  จึงไม่อยู่ในข่ายที่จะกักกันจำเลยได้  อีกประการหนึ่ง  ความผิดก่อน พ.ศ. ๒๕๐๐  ของจำเลยได้รับการล้างมลทินไปแล้ว  จะพิพากษาให้กักกันจำเลยไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า  ตามประวัติอาชญากรท้ายฟ้อง  จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษและพ้นโทษภายหลังวันที่  ๑๓  พฤษภาคม  ๒๕๐๐  ซึ่งเป็นวันที่พระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสครบ  ๒๕  พุทธศตวรรษ  พ.ศ. ๒๔๙๙  ใช้บังคับเพียงคดีเดียว  คือ  คดีหมายเลขแดงที่ ๖๓๖/๒๕๐๙  ของศาลจังหวัดสงขลา  ฐานลักทรัพย์  ให้จำคุก ๙ เดือน  พ้นโทษเมื่อวันที่  ๑๘  ตุลาคม  ๒๕๐๙  ส่วนคดีก่อนนอกนั้นจำเลยพ้นโทษไปก่อนวันใช้พระราชบัญญัติล้างมลทินทั้งสิ้น  แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยย่อมได้รับการล้างมลทินไปหมดแล้วตามมาตรา ๓  ที่ให้ถือว่าจำเลยมิได้เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำผิดมาก่อนเลย  จะถือว่าจำเลยเคยถูกพิพากษาให้ลงโทษจำคุกมาแล้วไม่ต่ำกว่าสองครั้งไม่ได้  เพราะไม่ครบเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔๑  ศาลจึงไม่มีอำนาจพิพากษาให้กักกันจำเลย  พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะว่า  เมื่อจำเลยพ้นโทษแล้ว  ไม่ต้องส่งจำเลยไปกักกัน

