แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า ‘เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม2524 เวลากลางวัน จำเลยได้บังอาจขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ช.ม. 20-1034 วิ่งรับส่งคนโดยสารเพื่อสินจ้างประจำทางสายเวียงป่าเป้า-ดอยนางแก้ว อันเป็นการประกอบการขนส่งประจำทางโดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ ฯลฯ’ นั้น เป็นการบรรยายถึงองค์ประกอบความผิดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก ฯมาตรา 23 แล้วจึงเป็นฟ้องที่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2524 เวลากลางวัน จำเลยได้บังอาจขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ช.ม.20-1034 วิ่งรับส่งคนโดยสารเพื่อสินจ้างประจำทางสายเวียงป่าเป้า-ดอยนางแก้ว อันเป็นการประกอบการขนส่งประจำทางโดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ และในเส้นทางสายดังกล่าวมีบริษัทไทยพัฒนกิจขนส่งจำกัดเป็นผู้มีสิทธิและได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบกให้ประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถยนต์โดยสาร บนเส้นทางหมวด 3 สายที่ 166จากจังหวัดเชียงใหม่ถึงเชียงราย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 23, 126
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำคุก 2 ปี ปรับ 30,000 บาทลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี ปรับ 15,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้จำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า “เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2524 เวลากลางวัน จำเลยนี้ได้บังอาจขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ช.ม.20-1034 วิ่งรับส่งคนโดยสารเพื่อสินจ้าง ประจำทางสายเวียงป่าเป้า-ดอยนางแก้ว อันเป็นการประกอบการขนส่งประจำทางโดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ ฯลฯ” จึงเป็นการบรรยายถึงองค์ประกอบแห่งความผิดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 23 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษนั้นครบถ้วนแล้ว นอกจากนี้โจทก์ยังได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดี โดยจะเห็นได้ว่าเมื่อศาลอ่านคำฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยก็ได้ยื่นคำให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์นั้นทุกประการ ฟ้องโจทก์จึงชอบตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
พิพากษายืน