คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8593/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเสพเฮโรอีนและเสพกัญชาโดยหั่นกัญชาผสมเฮโรอีนบรรจุในบ้องกัญชาแล้วจุดไฟสูบ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเสพทั้งเฮโรอีนและกัญชา ซึ่งผสมกันเสมือนวัตถุอันเดียว การที่จำเลยเสพยาเสพติดให้โทษทั้งสองประเภทไปในลักษณะเช่นนี้ จึงเป็นความผิดเพียงกรรมเดียว ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 7, 8, 15, 26, 57, 66, 76, 91, 92, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 49, 91คืนธนบัตรฉบับละ 500 บาท แก่เจ้าของ ส่วนของกลางอื่นให้ริบและห้ามจำเลยเสพยาเสพติดทุกประเภทภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 49

จำเลยให้การปฏิเสธข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาเสพเฮโรอีน เสพกัญชาและมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง, 57, 91, 92, 26 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคหนึ่ง แม้ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุไม่เกิน 20 ปี แต่พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีไม่สมควรลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ให้ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 5 ปี ฐานจำหน่ายเฮโรอีน จำคุก 5 ปี ฐานเสพเฮโรอีน จำคุก 6 เดือน ฐานเสพกัญชาจำคุก 4 เดือน ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองจำคุก 4 เดือน คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมสำหรับความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเฮโรอีนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นพิจารณาสำหรับความผิดฐานเสพเฮโรอีน ฐานเสพกัญชาและฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 3 ปี 9 เดือน ฐานจำหน่ายเฮโรอีน จำคุก 3 ปี 9 เดือน ฐานเสพเฮโรอีน จำคุก 3 เดือน ฐานเสพกัญชา จำคุก 2 เดือน ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 6 ปี 25 เดือน คืนธนบัตรฉบับละ500 บาท แก่เจ้าของ ริบของกลาง ยกคำขอห้ามจำเลยเสพยาเสพติดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 49

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานเสพกัญชาตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง และมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67 ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกกรรมหนึ่ง จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานเสพเฮโรอีนฐานเสพกัญชาและฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง คงจำคุกรวม 1 ปี 1 เดือน ยกฟ้องความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้และยึดได้ของกลางหลายรายการตามบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.6 โดยจำเลยมีเฮโรอีน 1 หลอด กัญชา 1 ถุง ของกลางไว้ในครอบครอง และเสพเฮโรอีนกับกัญชาโดยหั่นกัญชาผสมเฮโรอีนบรรจุบ้องกัญชาแล้วจุดไฟสูบ คดีคงมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนหรือไม่ ส่วนความผิดฐานอื่น ๆ เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในปัญหาดังกล่าว เห็นว่า โจทก์มีเจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมจำเลยมาเป็นพยาน3 ปาก คือ นายดาบตำรวจสุชาติ มูลลักษณ์ นายดาบตำรวจประสาน รัตนสำเนียง และร้อยตำรวจโทประเสริฐ นาคคง โดยพยานที่เห็นการจำหน่ายเฮโรอีนคงมีเพียงนายดาบตำรวจสุชาติปากเดียว ส่วนนายดาบตำรวจประสานและร้อยตำรวจโทประเสริฐไม่ได้เห็น แต่ตามเข้าไปร่วมตรวจค้นและจับกุมเมื่อได้รับแจ้งทางวิทยุจากนายดาบตำรวจสุชาติแล้ว สำหรับนายดาบตำรวจสุชาติเบิกความว่า เห็นชายคนหนึ่งส่งมอบสิ่งของให้สายลับ และสายลับส่งธนบัตรให้ชายคนดังกล่าวและรับเงินทอน เมื่อสายลับนำเฮโรอีน 2 หลอดมาให้แล้วพยานกับพวกจึงเข้าไปที่ฟาร์ม ชายคนดังกล่าววิ่งหนีแต่ก็ถูกจับกุมมาได้ พยานกับพวกขึ้นไปบนห้องนอนของจำเลย พบจำเลยกำลังเสพยาเสพติดให้โทษโดยหั่นกัญชาผสมเฮโรอีน จำเลยโยนเฮโรอีนกัญชาและบ้องกัญชาทิ้งลงไปทางหน้าต่างแล้วกระโดดหลบหนี แต่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมไว้ได้ ดังนี้เห็นได้ว่าชายคนที่จำหน่ายเฮโรอีนให้สายลับเป็นคนละคนกันกับจำเลย เนื่องจากขณะจับกุมชายคนที่จำหน่ายเฮโรอีนให้สายลับนั้นจำเลยยังอยู่ในห้องนอนและกำลังเสพเฮโรอีนและกัญชาอยู่ การที่นายดาบตำรวจสุชาติเบิกความต่อไปว่า คนที่สายลับไปซื้อเฮโรอีนในครั้งแรกเป็นจำเลย ยิ่งทำให้คำเบิกความของนายดาบตำรวจสุชาติสับสนไม่อยู่กับร่องกับรอยและไม่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น นอกจากนี้ นายดาบตำรวจสุชาติเบิกความว่า ค้นได้ธนบัตรฉบับละ 500 บาท ที่มีหมายเลขตรงกับธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจากกระเป๋ากางเกงของจำเลย ซึ่งตรงกับข้อความในบันทึกการตรวจค้น/จับกุมเอกสารหมาย จ.1 และคำเบิกความของนายดาบตำรวจประสาน แต่ร้อยตำรวจโทประเสริฐเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านยืนยันข้อเท็จจริงว่า ค้นพบเงินที่ใต้ที่นอนไม่ได้ค้นที่ตัวจำเลย ซึ่งสอดคล้องกับทางนำสืบของจำเลยและบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.6ซึ่งมีข้อความบันทึกว่า จำเลยยืนยันว่าธนบัตรฉบับละ 500 บาท ของกลางไม่ใช่ของจำเลย แต่รับว่าของกลางอื่นเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้จากบ้านของจำเลยจริง จึงรับฟังเอาเป็นมั่นคงไม่ได้ว่าธนบัตรฉบับละ 500 บาท ของกลางอยู่ในครอบครองของจำเลยหรือไม่ ส่วนที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมตามบันทึกการตรวจค้น/จับกุมเอกสารหมาย จ.1 นั้น คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมเป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย พยานโจทก์ที่เบิกความรับรองว่าจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีน คงมีเพียงนายดาบตำรวจสุชาติปากเดียว นายดาบตำรวจประสานมิได้เบิกความสนับสนุน ยิ่งกว่านั้นร้อยตำรวจโทประเสริฐเบิกความไว้ชัดเจนว่า ชั้นจับกุมจำเลยให้การว่ามีกัญชาไว้ในครอบครอง มีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง และรับว่าเสพเฮโรอีนและกัญชาด้วย ส่วนในข้อหาจำหน่ายเฮโรอีนและมีไว้เพื่อจำหน่ายให้การปฏิเสธ จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยได้ให้การรับสารภาพในข้อหาทั้งสองนี้ในชั้นจับกุม พยานหลักฐานของโจทก์มีข้อขัดแย้งกันหลายประการดังกล่าว ทำให้เป็นพิรุธและไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้องในความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยเสพเฮโรอีนและเสพกัญชาโดยหั่นกัญชาผสมเฮโรอีนบรรจุในบ้องกัญชาแล้วจุดไฟสูบ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเสพทั้งเฮโรอีนและกัญชาซึ่งผสมกันเสมือนวัตถุอันเดียว การที่จำเลยเสพยาเสพติดให้โทษทั้งสองประเภทไปในลักษณะเช่นนี้จึงเป็นความผิดเพียงกรรมเดียว มิใช่สองกรรมดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามา ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา”

พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานเสพเฮโรอีนและฐานเสพกัญชาเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเสพเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 57, 91 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 3 เดือน รวมกับโทษฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นจำคุก 11 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share