แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนว่า ม. กับพวกร่วมกันบุกรุกที่ดินของจำเลย ความจริงเป็นที่ดินของโจทก์ทำให้โจทก์ต้องฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีแพ่ง จึงเห็นได้ว่าผู้เสียหายในคดีที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จคือ ม. หาใช่โจทก์ไม่ และความเสียหายที่โจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์อาจแพ้คดีแพ่งตามผลคดีอาญาที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จก็ได้นั้น ก็ไม่ใช่ความเสียหายที่ทำให้โจทก์กลายเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.
ย่อยาว
มูลกรณีสืบเนื่องมาจากจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนว่า นาย ม. กับพวกบุกรุกที่ดินของจำเลย ความจริงที่ดินเป็นของโจทก์การแจ้งข้อความอันเป็นเท็จของจำเลยอาจทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จ
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องโจทก์แล้ว เห็นว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ อนุมาตรา ๔ บัญญัติว่า ‘ผู้เสียหาย’ หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้ดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๔, ๕และ ๖ เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนว่านายโหมด ภูมิโคกรักษ์ กับพวกร่วมกันบุกรุกที่ดินของจำเลย ความจริงเป็นที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องฟ้องขับไล่จำเลย การแจ้งเท็จของจำเลยดังกล่าวอาจทำให้โจทก์เสียหาย ดังนั้น ผู้เสียหายในคดีที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จก็คือนายโหมด โจทก์มิใช่ผู้เสียหายเพราะจำเลยมิได้แจ้งว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของจำเลย ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายพิเศษโดยตรงตามกฎหมายเพราะโจทก์ต้องฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีแพ่งซึ่งโจทก์อาจแพ้คดีแพ่งตามผลคดีอาญา ที่จำเลยไปแจ้งข้อความอันเป็นเท็จก็ได้นั้น เห็นว่าความเสียหายที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกา ไม่ใช่ความเสียหายที่ทำให้โจทก์กลายเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย อันจะทำให้มีอำนาจฟ้องขึ้นมาได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ยืนตามศาลชั้นต้นนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.