แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ค้ำฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 23422 พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้าง และให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 19323 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง โดยโจทก์ทั้งสองอ้างว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ทราบ และขายทอดตลาดทรัพย์ไปในราคาต่ำกว่าราคาปกติ ทำให้โจทก์ทั้งสองมีหนี้ค้างชำระต้องถูกยึดทรัพย์อื่นอีก อันเป็นคำฟ้องที่อ้างว่าการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง จึงต้องยื่นคำร้องต่อศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดี โจทก์ทั้งสองหาอาจนำคดีมาฟ้องใหม่ได้ไม่และในกรณีที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายเป็นค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีแทนโจทก์ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์นั้น เมื่อศาลยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดหรือเพิกถอนการยึดทรัพย์ก็จะฟังว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ทั้งสองหาได้ไม่ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสาม
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้มีคำพิพากษาเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 23422 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าว โดยให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนเพิกถอน กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 19323 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง โดยให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีแทนโจทก์ทั้งสอง 179,733 บาท กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง 900,000 บาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนกฎหมายได้มีบทบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง แล้ว โจทก์ทั้งสองจึงต้องดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่อาจพิพากษาตามฟ้องโจทก์ได้ และชอบที่จะยกฟ้องเสียในชั้นตรวจคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131 (2) ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ทั้งสองประการแรกว่า ศาลชั้นต้นจะต้องรับคำฟ้องโจทก์ทั้งสองไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองที่ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 23422 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 19323 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง โดยโจทก์ทั้งสองอ้างว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ทราบ และขายทอดตลาดทรัพย์ไปในราคาต่ำกว่าราคาปกติ ทำให้โจทก์ทั้งสองมีหนี้ค้างชำระต้องถูกยึดทรัพย์อื่นอีก จึงเป็นคำฟ้องที่อ้างว่า การบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง หาใช่เป็นคำฟ้องที่เกี่ยวกับการกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสามตามที่โจทก์ทั้งสองอ้างไม่ และเมื่อมาตรา 296 ดังกล่าวเป็นบทกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะว่า ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดี โจทก์ทั้งสองจึงต้องดำเนินการไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โจทก์ทั้งสองหาอาจนำคดีมาฟ้องใหม่ได้ และสำหรับที่โจทก์ทั้งสองขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายเป็นค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีแทนโจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 179,733 บาท และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองอีก 900,000 บาท โดยอ้างในคำฟ้องว่า พนักงานของจำเลยที่ 1 และเจ้าพนักงานบังคับคดีของจำเลยที่ 2 จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหายต่อชื่อเสียงทางทำมาหาได้ ต้องรับภาระในการถอนการยึดมากกว่าความเป็นจริง และขาดสภาพคล่องไม่สามารถนำที่ดินไปนำนิติกรรมได้ นั้น เห็นว่า เมื่อศาลยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดหรือเพิกถอนการยึดทรัพย์คดีนี้ จะฟังว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองส่วนนี้เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ทั้งสองหาได้ไม่ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองมานั้น ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และเมื่อไม่มีเหตุที่จะรับฟ้องคดีโจทก์ทั้งสองไว้พิจารณาแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ทั้งสองต่อไป”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ