แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ 11 คูหาโจทก์ได้ก่อสร้างมาระยะหนึ่งก็หยุดไม่ทำต่อไป เมื่อโจทก์ทิ้งงานแล้ว จำเลยได้ไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐาน โดยระบุแสดงเจตนาไว้ว่าไม่ให้โจทก์มาเกี่ยวข้อง ในการก่อสร้างต่อไป และจำเลยได้สอบถามคนงานว่าสามารถทำงานต่อไปได้หรือไม่ หัวหน้าคนงานของโจทก์ก็ตอบว่าสามารถทำงานต่อไปได้แม้จะไม่มีโจทก์ก็ตามและได้ทำงานต่อไปจนเสร็จโดยจำเลยเป็นผู้จ่ายค่าแรงให้แก่คนงานดังกล่าว การที่โจทก์ไม่ประสงค์จะทำงานให้จำเลยโดยทิ้งงานไป จำเลยก็แสดงเจตนาที่ไม่ต้องการให้โจทก์ทำงานตามสัญญาต่อไปอีก สัญญาก่อสร้างอาคารระหว่างโจทก์จำเลย เป็นอันเลิกกันโดยปริยาย หลังจากโจทก์ทิ้งงานแล้ว คนงานอื่น ๆ ของโจทก์อีกประมาณ80 คน ก็ทำงานต่อในฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลย เช่นนี้คนงานของโจทก์ที่ทำงานต่อไปจึงทำในฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยมิใช่ในฐานะเป็นลูกจ้างของโจทก์ การที่จำเลยจ่ายค่าจ้างแก่คนงานที่ทำงานหลังจากโจทก์ทิ้งงานต่อไปจนเสร็จดังกล่าวหาใช่เป็นการจ่ายแทนโจทก์ จำเลยจึงไม่อาจเรียกค่าแรงงานในส่วนนี้จากโจทก์ตามฟ้องแย้งได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2533 จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์รับเหมาก่อสร้างอาคารพาณิชย์ที่ตำบลบางซ้ายอำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของโครงการทั้งหมด 11 คูหา ตกลงคิดค่าใช้จ่ายเป็นการจ้างเหมารวมค่าวัสดุและค่าแรงในการก่อสร้างรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,043,000บาท โจทก์ตกลงรับทำงานตามโครงการของจำเลยให้จนเสร็จ และจำเลยตกลงให้ค่าจ้างแก่โจทก์เป็นงวด เมื่องานแต่ละส่วนเสร็จในการก่อสร้างโจทก์เป็นผู้จัดหาและนำเครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆมาใช้สำหรับทำงานก่อสร้าง รวมเป็นเงินค่าเครื่องมืออุปกรณ์ทั้งสิ้น 410,000 บาท โจทก์ได้ทำงานก่อสร้างอาคารให้แก่จำเลยจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2534 จำเลยได้ผิดสัญญาว่าจ้างที่ตกลงไว้กับโจทก์กล่าวคือ จำเลยได้ว่าจ้างผู้รับเหมารายอื่นเข้าทำงานก่อสร้างอาคารของจำเลยต่อจากโจทก์ โจทก์จึงไม่อาจทำการก่อสร้างอาคารของจำเลยให้เสร็จตามโครงการได้โดยมิใช่ความผิดของโจทก์ โจทก์ทำงานให้จำเลยโดยโครงการบางส่วนเสร็จสิ้นไป100 เปอร์เซ็นต์ และบางส่วนเสร็จไปประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์คิดเป็นเงินค่าก่อสร้างที่โจทก์จะได้รับเงินทั้งสิ้น 959,000 บาท ซึ่งจำเลยได้ชำระให้แก่โจทก์บางส่วนแล้วรวมเป็นเงิน 731,241 บาทจำเลยยังคงค้างค่าจ้างในการก่อสร้างอาคารอีกเป็นจำนวนเงิน227,759 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย 6,216 บาท รวมค่าจ้างและดอกเบี้ยเป็นเงินทั้งสิ้น 233,975 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าจ้างที่ค้างชำระจำนวน 233,975 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา 7.5 ต่อปีจากต้นเงิน 227,759 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยส่งมอบคืนเครื่องมืออุปกรณ์ตามฟ้องแก่โจทก์ หากจำเลยไม่อาจส่งมอบคืนในสภาพเดิมได้ขอให้จำเลยชดใช้ราคาเป็นเงินจำนวน 410,000 บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยตกลงว่าจ้างโจทก์รับเหมาก่อสร้างอาคารพาณิชย์โดยโจทก์เป็นผู้จัดหาเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับใช้ทำการก่อสร้างตามฟ้อง ความจริงจำเลยเป็นผู้ซื้อไม้แบบทุกชนิด โม่ผสมปูน 1 ตัว กว้านสำหรับส่งสิ่งของสายยาง ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 2 ตัว และกุญแจตัดเหล็กเป็นคนงานที่ก่อสร้างและอยู่ที่คนงานดังกล่าว มิได้อยู่ที่จำเลย จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ส่งคืนวัสดุอุปกรณ์ดังกล่าวให้แก่โจทก์ และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ราคาที่โจทก์คิดเป็นเงิน410,000 บาทได้ จำเลยไม่เคยผิดสัญญากับโจทก์ สาเหตุที่โจทก์ไม่อาจทำงานก่อสร้างอาคารพาณิชย์ของจำเลยให้แล้วเสร็จได้เนื่องจากโจทก์ทิ้งงานไปเอง จำเลยจึงเป็นผู้ควบคุมคนงานก่อสร้างเดิมทั้งหมดเองจนงานแล้วเสร็จ มิได้ว่าจ้างผู้รับเหมารายอื่นเข้าทำงานก่อสร้างต่อจากโจทก์แต่อย่างใด โจทก์ตกลงรับเหมาค่าแรงทั้งหมดเป็นเงิน 910,000 บาท แต่โจทก์เบิกเงินเกินไปเป็นเงิน 947,414 บาทและจำเลยได้ชำระค่าแรงงานแทนโจทก์ ส่วนที่เบิกไปแล้วเป็นเงิน251,994 บาท ขอให้ยกฟ้อง และบังคับให้โจทก์ชำระเงินที่จำเลยชำระค่าแรงงานแทนโจทก์เป็นเงิน 251,994 บาท ตามฟ้องแย้งแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้จ่ายค่าแรงงานแทนโจทก์เพราะได้ว่าจ้างผู้รับเหมารายอื่นเข้ามาทำงานต่อจากโจทก์ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบคืนเครื่องอุปกรณ์ตามฟ้องทั้งหมดรวม 7 รายการ ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่อาจส่งมอบคืนในสภาพเดิมได้ให้จำเลยชดใช้ราคาเป็นจำนวนเงิน 410,000 บาทแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยส่งมอบเครื่องอุปกรณ์จำนวน 7 รายการ ตามสภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบันคืนแก่โจทก์ มิฉะนั้นให้ชดใช้ราคาเป็นจำนวนเงิน 28,000 บาทนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2533 จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ 11 คูหา จำเลยจึงทำการก่อสร้างต่อมาจนถึงเดือนพฤษภาคม 2534 จึงเสร็จ คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงประเด็นเดียวว่า จำเลยได้ชำระค่าแรงงานแทนโจทก์หรือไม่เพียงใด จำเลยฟ้องแย้งอ้างว่า โจทก์ไม่อาจทำงานก่อสร้างอาคารพาณิชย์ของจำเลยให้แล้วเสร็จตามสัญญาและทิ้งงานไป จำเลยจึงเป็นผู้ควบคุมคนงานก่อสร้างชุดเดิมทั้งหมดทำการก่อสร้างต่อจนงานแล้วเสร็จ มิได้ว่าจ้างผู้รับเหมารายอื่นเข้าทำงานก่อสร้างต่อจากโจทก์แต่อย่างใด ซึ่งจำเลยได้ชำระค่าแรงงานแทนโจทก์ในส่วนที่โจทก์เบิกไปแล้วเป็นเงิน 251,994 บาท ขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินค่าแรงงานที่จำเลยจ่ายแทนโจทก์ตามจำนวนดังกล่าวแก่จำเลย แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยกลับเบิกความว่า เงินจำนวน200,000 บาทเศษ ที่โจทก์เบิกเกินไปจากจำเลยนั้น โจทก์เบิกไปซื้อไม้แบบ วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างอื่น ๆ และเป็นค่าจ้างทาสีตึกค่าเดินไฟฟ้า ค่าแรงคนงาน เห็นว่า คำเบิกความของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจำนวนเงินที่โจทก์เบิกเกินไปเพื่อซื้อไม้แบบวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างอื่น ๆ ค่าจ้างทาสีตึก ค่าเดินไฟฟ้าล้วนเป็นการนำสืบนอกเหนือไปจากฟ้องแย้ง จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยในส่วนนี้ เมื่อโจทก์ทิ้งงานแล้ว จำเลยได้ไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐาน โดยระบุแสดงเจตนาไว้ว่าไม่ให้โจทก์มาเกี่ยวข้องในการก่อสร้างต่อไป และจำเลยได้สอบถามคนงาน ว่าสามารถทำงานต่อไปได้หรือไม่ นายเฉลิม การภาพหัวหน้าคนงานตอบว่าสามารถทำงานต่อไปได้แม้จะไม่มีโจทก์ก็ตามและได้ทำงานต่อไปจนเสร็จ โดยจำเลยเป็นผู้จ่ายค่าแรงให้แก่คนงานดังกล่าว เห็นว่า เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะทำงานให้จำเลยโดยทิ้งงานไปจำเลยก็แสดงเจตนาที่ไม่ต้องการให้โจทก์ทำงานตามสัญญาต่อไปอีก สัญญาก่อสร้างอาคารระหว่างโจทก์จำเลย เป็นอันเลิกกันโดยปริยายแล้ว ประกอบกับ หลังจากโจทก์ทิ้งงานแล้ว คนงานอื่น ๆอีกประมาณ 80 คน ก็ทำงานต่อในฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยด้วยเช่นนี้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าหลังจากโจทก์ทิ้งงาน จำเลยได้ว่าจ้างคนงานของโจทก์ทำงานต่อไปในฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยมิใช่ในฐานะเป็นลูกจ้างของโจทก์ ฉะนั้น การที่จำเลยจ่ายค่าจ้างแก่คนงานที่ทำงานหลังจากโจทก์ทิ้งงานต่อไปจนเสร็จดังกล่าวหาใช่เป็นการจ่ายแทนโจทก์ดังที่จำเลยอ้างไม่ จำเลยจึงไม่อาจเรียกค่าแรงงานในส่วนนี้จากโจทก์ตามฟ้องแย้งได้
พิพากษายืน