แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยกล่าวในฎีกาว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นคลาดเคลื่อนต่อกฎหมายหลายประการ จึงฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นและตอนท้ายฎีกาขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ย้อน สำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานและพิพากษาใหม่ ดังนี้ เป็นการคัดค้านโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยฎีกาคัดค้านโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เลย จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวนนี้โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องใจความอย่างเดียวกันว่าโจทก์เช่าที่ดินราชพัสดุ 1 แปลง เพื่อปลูกสร้างอาคารตลาดสดของสุขาภิบาลสระคู จำเลยปลูกสร้างเพิงทำแผงลอยในที่ดินนั้นโดยละเมิดโจทก์มีคำสั่งให้จำเลยทั้งสามรื้อแผงลอยนั้น แต่จำเลยทั้งสามไม่ยอมรื้อการที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินราชพัสดุทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดรายได้จากค่าเช่าเดือนละ 30 บาท เป็นเวลา 41 เดือน คิดเป็นเงินรวม1,230 บาท ขอให้จำเลยทั้งสามกับบริวารออกจากที่ดินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินราชพัสดุที่โจทก์เช่า ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์คนละ 1,230 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสามแต่ละคนใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ30 บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากที่ดินไป ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า ไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความแต่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยทั้งสามไม่ได้สละสิทธิการเช่าแผงลอยจากโจทก์ คณะกรรมการดำเนินการจับสลากเพื่อเช่าปฏิบัติหน้าที่ไม่สุจริตโดยให้นางสมทรงบุคคลภายนอกมีสิทธิจับสลากเช่นเดียวกับจำเลย จำเลยทั้งสามค้านให้ถอนชื่อนางสมทรงออกแต่โจทก์ไม่ยอม โจทก์ให้ผู้มีชื่อในสัญญาประนีประนอม 4 คนกับนางสมทรงตรวจสลากก่อนจับสลาก แต่ไม่ยอมให้จำเลยทั้งสามตรวจสลาก ทำให้บุคคลทั้งห้านั้นจับสลากได้แผงลอยห้องเดิมที่เคยอยู่ซึ่งไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น จำเลยทั้งสามค้านการจับสลากและบอกเลิกการจับสลาก โจทก์ไม่มีอำนาจชี้ขาดว่าจำเลยทั้งสามสละสิทธิ โจทก์ไม่มีสิทธินำแผงลอยที่จำเลยทั้งสามครอบครองไปให้บุคคลอื่นจับสลากเพื่อเช่า จำเลยทั้งสามยอมชำระค่าเช่าให้โจทก์ในอัตราเดือนละ 30 บาท
วันนัดชี้สองสถาน คู่ความรับกันว่าได้ทำข้อตกลงกันในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 230/2517 ของศาลชั้นต้น ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2517 ปรากฏตามภาพถ่ายรายงานกระบวนพิจารณาที่จำเลยส่งศาลซึ่งจำเลยเรียกว่าสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยเคยฟ้องโจทก์ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 104/2517 ของศาลชั้นต้นศาลฎีกาพิพากษาคดีถึงที่สุดปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาฎีกาที่ 376/2519ที่โจทก์ส่งศาล
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่าการที่จำเลยทั้งสามกล่าวอ้างในคดีนี้ว่า ที่จำเลยทั้งสามไม่จับสลากยังไม่เป็นการสละสิทธิการเช่า เท่ากับรื้อฟื้นประเด็นแห่งคดีซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษาวินิจฉัยชี้ขาดแล้วมาดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 จำเลยทั้งสามอยู่ในที่พิพาทโดยละเมิด และกำหนดค่าเช่าให้เดือนละ 30 บาท พิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสามสำนวนกับบริวารออกจากที่ดินราชพัสดุที่โจทก์เช่าและรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปด้วย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 1,230 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 30 บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากที่ดิน
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายว่า ประเด็นว่าจำเลยสละสิทธิในการจับสลากเพื่อเลือกห้อง ศาลยังไม่ได้วินิจฉัยคดีนี้จึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 และศาลยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินการจับสลากของโจทก์ ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความสูงไป ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานไม่ชอบ ขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามกล่าวในฎีกาว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นคลาดเคลื่อนต่อกฎหมายหลายประการ จึงฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นและกล่าวต่อไปว่าศาลชั้นต้นงดสืบพยานไม่ชอบ ศาลชั้นต้นชอบที่ให้มีการสืบพยานต่อไป ข้อเท็จจริงคดีนี้ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ศาลชั้นต้นเข้าใจข้อกฎหมายคลาดเคลื่อนและตอนท้ายฎีกาขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานและพิพากษาใหม่ เห็นว่าตามฎีกาของจำเลยทั้งสามเป็นการคัดค้านโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามฎีกาคัดค้านโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เลย จึงเป็นปัญหาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
สำหรับนายทูลไทยจำเลยสำนวนที่ 4 นั้นมิได้ฎีการ่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 3 และศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าธรรมเนียมคดีของจำเลยสำนวนที่ 4 รวมด้วยซึ่งเป็นการเรียกเก็บเกิน
จึงพิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และจำหน่ายคดีของจำเลยสำนวนที่ 4 จากสารบบความของศาลฎีกา คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลยทั้งสี่