คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 299/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลอมและใช้พินัยกรรมปลอมของ ป.เจ้ามรดก ขอให้ลงโทษแต่โจทก์เองก็ถูกฟ้องว่าปลอมพินัยกรรมของ ป. เหมือนกัน และศาลได้พิพากษาลงโทษโจทก์ฐานปลอมพินัยกรรม คดีถึงที่สุด ดังนี้ โจทก์จึงตกเป็นบุคคลต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกของ ป. ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1606(5) โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยอันจะมีสิทธิฟ้องจำเลยได้ ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องได้ โดยไม่ต้องไต่สวนมูลฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรของนางปริก สิริยานนท์ และเป็นผู้รับมรดกนางปริก ตามพินัยกรรมลงวันที่ 26 ตุลาคม 2505นางปริกวายชนม์เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2507 จำเลยทั้งห้าคนกับพวกได้ร่วมกันทำพินัยกรรมปลอมขึ้นทั้งฉบับ ว่าเป็นพินัยกรรมของนางปริกลงวันที่ 1 มิถุนายน 2501 มีข้อความตัดโจทก์ว่ามิใช่บุตรบุญธรรมของนางปริก ห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของนางปริก และตั้งให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางปริก และต่อมาจำเลยที่ 1 ที่ 2โดยความรู้เห็นยินยอมของจำเลยอื่น ได้นำพินัยกรรมปลอมดังกล่าวไปยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นผู้จัดการมรดกและรับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ของนางปริก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 266, 267, 268, 83, 90 และ 91 ก่อนไต่สวนมูลฟ้องปรากฏว่าโจทก์ถูกพนักงานอัยการฟ้องฐานปลอมพินัยกรรมของนางปริกอีกฉบับหนึ่ง คือ คดีอาญาหมายเลขดำที่ 2633/2507 ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นเรื่องปลอมพินัยกรรมของนางปริกด้วยกัน แม้จะเป็นพินัยกรรมคนละฉบับ แต่หากเมื่อศาลพิจารณาพิพากษาคดีที่อัยการเป็นโจทก์ว่าพินัยกรรมฉบับที่นางประพิศโจทก์อ้างว่านางปริกทำขึ้นเพื่อยกทรัพย์สินให้แก่ตนนั้นเป็นพินัยกรรมปลอมแล้ว คดีนี้ก็อาจจะเสร็จไปได้ จึงสั่งรอการพิจารณาคดีไว้ฟังผลคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2633/2507 ต่อมาครั้นศาลฎีกาได้พิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2633/2507 นั้นแล้ว ศาลชั้นต้นสั่งงดไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยคดีถึงที่สุดในคดีอื่นแล้วว่าโจทก์มิใช่บุตรหรือบุตรบุญธรรมของเจ้ามรดก และลงโทษโจทก์ฐานปลอมและใช้พินัยกรรมปลอม โจทก์หาเป็นผู้เกี่ยวข้องอันใดกับนางปริก และหามีความเสียหายแต่ประการใดเนื่องจากการกระทำผิดฐานปลอมและใช้พินัยกรรมปลอมของนางปริกไม่ โจทก์มิใช่ผู้เสียหาย พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้จะรับฟังไว้ก่อนว่าโจทก์เป็นบุตรหรือบุตรบุญธรรมของนางปริกก็ตาม โจทก์ก็ถูกกำจัดมิให้รับมรดกนางปริกในฐานะเป็นผู้ไม่สมควร เพราะเป็นผู้ปลอมพินัยกรรมของเจ้ามรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1606(5) และไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่จะมีอำนาจฟ้องคดีนี้พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาฝ่ายเดียว

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลฎีกาได้พิพากษาถึงที่สุดในคดีดำที่ 2633/2507 นั้น ว่าโจทก์เป็นผู้ปลอมพินัยกรรมของนางปริก โจทก์ย่อมตกเป็นผู้ถูกกำจัดมิให้รับมรดกของนางปริกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1606(5) จึงเห็นได้ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) เพราะการกระทำทั้งหลายที่โจทก์อ้างว่าจำเลยกระทำผิดฐานปลอมและใช้พินัยกรรมอีกฉบับหนึ่งต่างหากจากที่โจทก์ถูกฟ้องนั้น มิได้ทำให้โจทก์ซึ่งตกเป็นบุคคลต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกคือทรัพย์สินของนางปริกเจ้ามรดกเสียแล้วนั้นต้องได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยแต่อย่างใด แม้การกำจัดมิให้รับมรดกเป็นการเฉพาะตัว และบุตรโจทก์อาจสืบมรดกโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1607 ดังที่โจทก์อ้างก็ตามก็เป็นเรื่องของบุตรโจทก์ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีในฐานะตนเอง มิใช่ฟ้องแทนบุตรผู้เยาว์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องของโจทก์นั้นจึงชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share