คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องโจทก์ได้ความว่าเดิมโจทก์ได้แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องสอดผู้ร้องสอดแจ้งขอจับจองและได้รับใบจองในชื่อจำเลยแต่จำเลยและผู้ร้องสอดไม่ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์โจทก์จึงเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาโดยไม่มีบุคคลใดโต้แย้งสิทธิอันเป็นการแสดงให้เห็นว่าสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่แม้โดยพฤตินัยจำเลยและผู้ร้องสอดจะไม่ได้รบกวนโต้แย้งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองก็ตามแต่โจทก์ยังมีคำขอห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทด้วยโดยจำเลยและผู้ร้องสอดต่างยืนยันในคำให้การและให้คำร้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องสอดที่ให้จำเลยมีชื่อเป็นผู้เข้าทำกินซึ่งเป็นการโต้แย้งการเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55แล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมานาน20ปีแม้โจทก์เคยยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องสอดและผู้ร้องสอดให้จำเลยไปขอออกใบจองจนกระทั่งได้รับหนังสือสำคัญแบบแจ้งการครอบครองแทนผู้ร้องสอดแล้วก็ตามเมื่อการขอจับจองไม่ชอบด้วยกฎหมายและจำเลยกับผู้ร้องสอดไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทที่ดินพิพาทยังคงเป็นของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ส.ค.1 พิพาท ซึ่งผู้มีชื่อได้แจ้งขอจับจองในชื่อจำเลยโจทก์แจ้งให้จำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินให้แก่โจทก์แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทตามใบจองเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า ผู้ร้องสอดได้พาจำเลยไปจับจองที่ดินพิพาทและทางราชการได้ออกใบจองให้แก่จำเลยจำเลยครอบครองทำประโยชน์ตลอดมานาน 20 ปีขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า โจทก์ยกที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องสอดผู้ร้องสอดจึงขอออกใบจองในชื่อจำเลยแล้วทำประโยชน์ตลอดมา ขอให้พิพากษาว่าผู้ร้องสอดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
โจทก์ให้การแก้คำร้องสอดว่า หลังจากโจทก์ยกที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องสอดแล้ว ผู้ร้องสอดปล่อยเป็นที่รกร้างไม่เคยเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ โจทก์จึงเข้าครอบครองทำประโยชน์มานาน 20 ปีเศษ โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ขอให้ยกคำร้องสอด
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทตามใบจองเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ยกคำร้องสอด
ผู้ร้องสอด อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ว่าเดิมที่ดินพิพาทโจทก์ได้แบ่งให้แก่ผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดได้ไปแจ้งขอจับจอง ทางราชการได้ออกใบจอง (น.ส.2)ให้ในชื่อของจำเลย แต่จำเลยและผู้ร้องสอดไม่ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ โจทก์จึงเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาโดยไม่มีบุคคลใดโต้แย้งสิทธิอันเป็นการแสดงให้เห็นว่าสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่ แม้โดยพฤตินัยจำเลยและผู้ร้องสอดจะยังไม่ได้รบกวนโต้แย้งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทที่โจทก์กำลังครอบครอง ซึ่งโจทก์ยังไม่มีสิทธิที่จะขอบังคับให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามคำขอของโจทก์ท้ายฟ้องก็ตาม แต่โจทก์ก็ยังมีคำขออีกข้อหนึ่งคือห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทซึ่งตามคำขอของโจทก์ให้บังคับจำเลยในข้อนี้ก็ปรากฏตามคำให้การของจำเลยและจากคำร้องของผู้ร้องสอดยืนยันว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องสอดที่ได้ให้จำเลยมีชื่อเป็นผู้เข้าทำกินในที่ดินพิพาทแทน อันเป็นการปฏิเสธคำฟ้องโจทก์ ทั้งเป็นการโต้แย้งการเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองของโจทก์ในที่ดินที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยและผู้ร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ส่วนปัญหาว่า โจทก์หรือผู้ร้องสอดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทนั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทโดยมีเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมาตั้งแต่ปี 2513 ถึงวันฟ้องเป็นเวลานานประมาณ 20 ปี โดยจำเลยและผู้ร้องสอดไม่เคยเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเลย ดังนั้นแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าโจทก์เคยยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องสอด และผู้ร้องสอดได้ให้จำเลยไปขอออกใบจองจนกระทั่งได้รับหนังสือสำคัญแบบแจ้งการครอบครองที่ดินพิพาท(ส.ค.1) ตามเอกสารหมาย ล.1 แทนผู้ร้องสอดเป็นหลักฐานแล้วก็ตาม แต่เป็นการขอจับจองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ร้องสอดก็มิได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาด้วยเลยนั้น ผู้ร้องสอดก็ยังไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทตามกฎหมายแต่ประการใดที่ดินพิพาทจึงยังเป็นของโจทก์อยู่
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share