แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องโจทก์ระบุว่า ผู้ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์มีเพียงคนเดียว คือจำเลยที่ 2ดังนั้น ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าผู้ค้ำประกันมี 2 คนผู้ค้ำประกันคนแรกชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แล้วเป็นเงิน11,120 บาท ผู้ค้ำประกันคนที่สองคือจำเลยที่ 2ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 30,000 บาทจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของโจทก์ ตำแหน่งพนักงานขับรถยนต์โดยสารประจำทาง ประจำเขตการเดินรถที่ 11 จำเลยที่ 2เป็น ผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ โดยยินยอมรับเงินในวงเงิน 30,000 บาท ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม 2524 ถึงวันที่ 4ธันวาคม 2526 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารประจำทางไปตามทางการที่จ้างได้ขับรถด้วยความประมาทเป็นเหตุให้ชนคนและรถของผู้อื่นได้รับความเสียหายรวม 3 ครั้ง โจทก์ได้จ่ายค่าเสียหายเป็นเงิน105,150 บาท แทนจำเลยที่ 1 ไป จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้แก่โจทก์โจทก์ได้รับชดใช้จากผู้ค้ำประกันเป็นเงิน 11,200 บาท คงเหลือค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้แก่โจทก์ 93,950 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 93,950 บาท โดยให้จำเลยที่ 2ชดใช้จำนวน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดและขาดนัดพิจารณา
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 93,950 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 18,800 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินที่จำเลยแต่ละคนต้องรับผิดนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามคำฟ้องโจทก์แม้โจทก์มิได้บรรยายถึงผู้ค้ำประกันรายอื่นที่ได้ชดใช้หนี้สินตามสัญญาค้ำประกันแทนจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 11,200 บาท ไว้ก็ตาม แต่ในชั้นพิจารณาโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ได้เบิกความถึงความข้อนี้ไว้ว่า จำเลยที่ 1 มีผู้ค้ำประกัน 2 คน โดยผู้ค้ำประกันคนแรกซึ่งโจทก์มิได้ฟ้องเป็นจำเลย ได้ชดใช้หนี้ตามสัญญาค้ำประกันครบถ้วนแล้วเป็นเงิน 11,120 บาท ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ได้ชดใช้หนี้สินบางส่วนแทนจำเลยที่ 1 มาบ้างแล้ว จึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากข้อเท็จจริงที่ได้จากทางพิจารณา โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันความรับผิดในการทำงานของจำเลยที่ 1ต่อโจทก์ในวงเงิน 30,000 บาท จำเลยที่ 1 ทำละเมิดในทางการที่จ้างทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย 3 ครั้ง คิดเป็นค่าเสียหายรวมเป็นเงิน105,150 บาท โจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากผู้ค้ำประกันแล้วเป็นเงิน11,200 บาท จึงเหลือค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 จะต้องชดใช้ให้แก่โจทก์อีก 93,950 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดโดยให้จำเลยที่ 2ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย เห็นได้ว่าผู้ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์มีเพียงคนเดียว คือจำเลยที่ 2 ดังนั้น ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าผู้ค้ำประกันมี 2 คน ผู้ค้ำประกันคนแรกชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แล้วเป็นเงิน 11,120 บาท ผู้ค้ำประกันคนที่สองคือจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 30,000 บาท จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์