แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภรรยากัน มีที่ดินอันเป็นสินสมรสด้วยกันหลายแปลง การที่จำเลยที่ 1 ผู้เป็น สามียกที่ดินดังกล่าวให้แก่บุตร 3 คน ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์และจำเลยที่ 1 เองคนละ 1 แปลง ถือว่าเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีจำเลยที่ 1 ผู้เป็นสามีมีอำนาจทำได้โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ผู้เป็นภรรยาก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1473(3)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องทั้งสามสำนวนเป็นทำนองเดียวกันว่าโจทก์และจำเลยที่ ๑ แต่งงานกันเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ มีบุตรด้วยกัน ๘ คนคงมีชีวิตอยู่ ๗ คน รวมทั้งจำเลยที่ ๒ ในสำนวนทั้งสามด้วย โจทก์และจำเลยที่ ๑ มีที่ดินเป็นสินสมรสหลายแปลง ต่อมาจำเลยที่ ๑ ทำหนังสือสัญญาและจดทะเบียนยกที่ดินอันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ให้จำเลยที่ ๒ ในสำนวนทั้งสามโดยเสน่หา คนละ ๑ แปลง โดยจำเลยที่ ๑มิได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ และมิใช่เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนสัญญายกที่ดินให้ ระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ แล้วให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมในที่ดิน ๓ แปลงดังกล่าว
จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ในสำนวนทั้งสามให้การว่า ที่ดินสามแปลงตามฟ้องจำเลยที่ ๑ เอาเงินมารดาจำเลยที่ ๑ ให้มาซื้อและตามหลักฐานมีชื่อจำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียวก่อนยกที่ดินให้จำเลยที่ ๒จำเลยได้ปรึกษาโจทก์แล้ว โจทก์มิได้คัดค้าน การยกให้ดังกล่าวเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ ทำหนังสือสัญญายกที่ดินตามฟ้องให้จำเลยที่ ๒ ในสำนวนทั้งสาม แต่การยินยอมนั้นมิได้ทำเป็นหนังสือ การที่จำเลยที่ ๑ ยกที่ดินตามฟ้องให้จำเลยที่ ๒เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี ไม่ต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากโจทก์ จะฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ไม่ได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้ง ๓ สำนวน
โจทก์อุทธรณ์ทั้ง ๓ สำนวน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาทั้ง ๓ สำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ มีที่ดินอันเป็นสินสมรสหรือสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ หลายแปลง การที่จำเลยที่ ๑ยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ ๒ ในสำนวนทั้งสามซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ ๑ และโจทก์คนละ ๑ แปลง จึงเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีซึ่งจำเลยที่ ๑ มีอำนาจกระทำได้โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๓(๓)
พิพากษายืน