แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้มีประกันของจำเลยในฐานะผู้รับจำนอง ทางนำสืบของโจทก์ โจทก์มี จ. ทนายความโจทก์เป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นว่า ทรัพย์จำนองอันเป็นหลักประกัน ได้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 57826 และ 57827 ตำบลทุ่งครุ อำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งได้ถูกห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล พี.เอ็น.เทพเจริญ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 4009/2546 ของศาลแพ่งธนบุรีนำยึดไว้แล้ว และกรมบังคับคดีได้มีหนังสือแจ้งให้ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้เดิมนำส่งต้นฉบับโฉนดที่ดินและหนังสือสัญญาจำนอง เมื่อโจทก์นำสืบเพียงนี้ แสดงว่าเจ้าพนักงานบังคับคดียังมิได้ขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง เช่นนี้ การจำนองในที่ดินโฉนดเลขที่ 57826 และ 57827 จึงไม่ระงับสิ้นไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 744 (เดิม) ดังนั้น ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของจำเลยในทางจำนอง โจทก์จึงเป็นเจ้าหนี้มีประกันของจำเลยตามความใน พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 6 การฟ้องคดีของโจทก์ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 10 (2) กล่าวคือ โจทก์ต้องกล่าวมาในฟ้องว่า ถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้ว จะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย หรือตีราคาหลักประกันมาในฟ้องซึ่งเมื่อหักกับจำนวนหนี้ของตนแล้ว เงินยังขาดอยู่สำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท เมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับวิธีการจัดการทรัพย์หลักประกันตามมาตรา 10 (2) ดังกล่าว คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 10 (2) ที่ศาลจะรับไว้พิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลล้มละลายกลาง บริษัทบริหารสินทรัพย์ สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด ขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาต
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยให้หักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า เดิมจำเลยเป็นหนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)เจ้าหนี้เดิมตามคำพิพากษาตามยอม คดีหมายเลขแดงที่ 4596/2548 ของศาลแพ่งธนบุรีซึ่งพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,950,000 บาท ภายในเดือนมิถุนายน 2550 โดยชำระเงิน 15,000 บาท ภายในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยหักค่าใช้จ่ายของเจ้าหนี้เดิมเป็นค่าทนายความ 2,000 บาท ส่วนที่เหลือ 3,935,000 บาท ยอมผ่อนชำระเป็นรายเดือน ภายในวันทำการสุดท้ายของแต่ละเดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม 2549 ถึงเดือนพฤษภาคม 2550 ชำระไม่น้อยกว่าเดือนละ 15,000 บาท และเดือนมิถุนายน 2550 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้าย จำเลยตกลงชำระส่วนที่เหลือให้ครบถ้วน หากจำเลยชำระครบถ้วน เจ้าหนี้เดิมยินยอมไถ่ถอนทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 57826 และ 57827 ตำบลทุ่งครุ อำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ให้แก่จำเลย ในระหว่างการผ่อนชำระ จำเลยยอมทำประกันภัยทรัพย์จำนอง หากจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้งวดใดงวดหนึ่งหรือผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่ง ให้ถือว่าผิดนัดชำระหนี้ทั้งหมดและยอมรับผิดเต็มตามฟ้องหักด้วยจำนวนเงินที่จำเลยชำระไปแล้ว และให้บังคับคดีเอาแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 57826 และ 57827 ตำบลทุ่งครุ อำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างรวมตลอดถึงทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระจนครบถ้วน ตามสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความและสำเนาคำพิพากษาตามยอม โจทก์ได้รับโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ดังกล่าวมาจากเจ้าหนี้เดิม โดยโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิแทนเจ้าหนี้เดิมและศาลแพ่งธนบุรีมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ตามสำเนารายงานกระบวนพิจารณา ระหว่างการพิจารณาคดีนี้ โจทก์ได้โอนสิทธิเรียกร้องต่อให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด ได้ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิแทนโจทก์และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตแล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม คำนวณถึงวันฟ้องจำเลยยังคงค้างชำระหนี้โจทก์ 9,863,806.33 บาท ตามบัญชียอดหนี้และสำเนาบัญชีค่าฤชาธรรมเนียม โจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยปรากฏว่า นอกจากทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 57826 และ 57827 ตำบลทุ่งครุ อำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ของจำเลยที่นำไปเป็นประกันหนี้ไว้แก่เจ้าหนี้เดิมแล้วก็ไม่พบว่าจำเลยมีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ ตามสำเนาคำขอตรวจสอบกรรมสิทธิ์ที่ดินและห้องชุด
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า คำฟ้องโจทก์ชอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้มีประกันของจำเลยในฐานะผู้รับจำนอง ทางนำสืบของโจทก์ โจทก์มีนายจงรักษ์ ทนายความโจทก์เป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นว่า ทรัพย์จำนองอันเป็นหลักประกัน ได้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 57826 และ 57827 ตำบลทุ่งครุ อำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งได้ถูกห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล พี.เอ็น.เทพเจริญ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 4009/2546 ของศาลแพ่งธนบุรีนำยึดไว้แล้ว และกรมบังคับคดีได้มีหนังสือแจ้งให้เจ้าหนี้เดิมนำส่งต้นฉบับโฉนดที่ดินและหนังสือสัญญาจำนอง เมื่อโจทก์นำสืบเพียงนี้ แสดงว่าเจ้าพนักงานบังคับคดียังมิได้ขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง เช่นนี้ การจำนองในที่ดินโฉนดเลขที่ 57826 และ 57827 จึงไม่ระงับสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744 (เดิม) ดังนั้น ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของจำเลยในทางจำนอง โจทก์จึงเป็นเจ้าหนี้มีประกันของจำเลยตามความในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 6 การฟ้องคดีของโจทก์ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 10 (2) กล่าวคือ โจทก์ต้องกล่าวมาในฟ้องว่า ถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้ว จะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย หรือตีราคาหลักประกันมาในฟ้องซึ่งเมื่อหักกับจำนวนหนี้ของตนแล้ว เงินยังขาดอยู่สำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท เมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับวิธีการจัดการทรัพย์หลักประกันตามมาตรา 10 (2) ดังกล่าว คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 10 (2) ที่ศาลจะรับไว้พิจารณา ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น และเมื่อได้วินิจฉัยดังนี้แล้ว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยข้ออื่นอีกเนื่องจากไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษากลับเป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ