คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12761/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฟ้องผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งให้รับผิดชำระค่าเสียหายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 99 วรรคหนึ่ง เป็นการฟ้องให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งรับผิดในทางแพ่งที่มีเหตุมาจากการที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งฝ่าฝืนมาตรา 57 จนเป็นเหตุให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและให้เลือกตั้งใหม่ตามมาตรา 97 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธความรับผิดและต่อสู้ว่า จำเลยทั้งสี่มิได้บริจาคเงินและไม่มีเจตนาจะจูงใจให้จำเลยทั้งสี่ได้รับเลือกตั้ง ถือว่าจำเลยทั้งสี่ปฏิเสธว่ามิได้กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 57 จนเป็นเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งตามบทบัญญัติมาตรา 99 วรรคหนึ่ง ที่ให้ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการให้มีการเลือกตั้งใหม่นั้น มิใช่บทบัญญัติให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องรับผิดโดยเด็ดขาด จำเลยทั้งสี่ย่อมมีสิทธินำสืบปฏิเสธว่ามิได้กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 57 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันและแทนกันชดใช้เงิน 275,897.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 40,080.78 บาท และดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 4 ชดใช้เงิน 252,985.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 36,948.25 บาท และดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้เงินคนละ 5,290.50 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสี่สละประเด็นข้อต่อสู้อื่น โดยขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเฉพาะประเด็นเรื่องจำเลยทั้งสี่ได้ให้ทรัพย์สินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอันเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 หรือไม่ และจำเลยทั้งสี่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาล 12,637 บาท แก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากที่โจทก์ได้รับยกเว้นไม่ต้องชำระในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย นางยุวดี ทายาทของจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 2 ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสี่ให้ทรัพย์สินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนแก่จำเลยทั้งสี่ อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 และต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด ที่โจทก์ฎีกาว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการร้องเรียนจำเลยทั้งสี่ว่ากระทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งแล้ว จึงมีคำสั่งให้จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสี่บริจาคเงินทำบุญให้แก่วัดศรีคุณเมืองเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนแก่จำเลยทั้งสี่ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลยทั้งสี่แล้ว จำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้งใหม่ จำเลยทั้งสี่ไม่อาจนำสืบโต้แย้งเป็นอย่างอื่นได้นั้น เห็นว่า การฟ้องผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งให้รับผิดชำระค่าเสียหายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 99 วรรคหนึ่ง เป็นการฟ้องให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งรับผิดในทางแพ่งที่มีเหตุมาจากการที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งฝ่าฝืนมาตรา 57 จนเป็นเหตุให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและให้เลือกตั้งใหม่ตามมาตรา 97 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธความรับผิดและต่อสู้ว่า จำเลยทั้งสี่มิได้บริจาคเงินและไม่มีเจตนาจะจูงใจให้จำเลยทั้งสี่ได้รับเลือกตั้ง ถือว่าจำเลยทั้งสี่ปฏิเสธว่ามิได้กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 57 จนเป็นเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งตามบทบัญญัติมาตรา 99 วรรคหนึ่ง ที่ให้ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการให้มีการเลือกตั้งใหม่นั้น มิใช่บทบัญญัติให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องรับผิดโดยเด็ดขาด จำเลยทั้งสี่ย่อมมีสิทธินำสืบปฏิเสธว่ามิได้กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 57 ได้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสี่บริจาคเงินให้แก่วัดศรีคุณเมืองตามฟ้อง โดยโจทก์มีนางสาวเครือวัลย์ ผู้อำนวยการสำนักการคลังเทศบาลเมืองหนองคาย นางจามรี ปลัดเทศบาลเมืองหนองคาย นายทรงพล ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองหนองคายในครั้งที่เกิดเหตุ จ่าเอกสันทนา เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผนเทศบาลเมืองหนองคาย นายอุทัย และนายปณิธาน คณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดหนองคาย เบิกความเป็นพยาน แต่พยานโจทก์ดังกล่าวต่างก็มิได้เป็นประจักษ์พยานผู้ที่รู้เห็นข้อเท็จจริง ที่ว่าจำเลยทั้งสี่เป็นผู้บริจาคเงินให้แก่วัดศรีคุณเมืองแต่อย่างใด โดยพยานโจทก์ทั้งหมดต่างเบิกความเฉพาะในส่วนที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้งสี่และเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายเท่านั้น จึงเป็นพยานบอกเล่า ทั้งตามคำวินิจฉัยสั่งการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ 1900/2547 ลงวันที่ 21 กรกฏาคม 2547 ก็ปรากฎข้อเท็จจริงว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหนองคายได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนและพิจารณาแล้ว โดยได้ให้โอกาสผู้ร้องเรียนและผู้ถูกร้องเรียนมีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงและแสดงหลักฐานด้วยแล้ว เสนอความเห็นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งว่า ไม่ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้ถูกร้องเรียนซึ่งหมายถึงจำเลยทั้งสี่ หรือมีบุคคล หรือคณะบุคคลกระทำการใดๆ ตามคำร้องเรียน แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งกลับพิจารณารายงานการสืบสวนสอบสวนของคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหนองคายแล้ว เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบสวนปรากฏชื่อจำเลยทั้งสี่ในสมุดบัญชีผู้บริจาคเงินทอดกฐินสามัคคีวัดศรีคุณเมืองเมื่อวันที่ 7 ถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2546 และมีการประกาศรายชื่อผู้ร่วมบริจาคเงินทอดกฐินสามัคคีด้วย มาเป็นหลักฐานอันควรเชื่อว่าจำเลยทั้งสี่ได้บริจาคเงินให้แก่วัดศรีคุณเมืองเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่จำเลยทั้งสี่ ซึ่งขัดแย้งกับความเห็นของคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดหนองคายดังกล่าวข้างต้น โดยโจทก์มิได้นำสมุดบัญชีผู้บริจาคเงินทอดกฐินสามัคคีและประกาศรายชื่อผู้ร่วมบริจาคมานำสืบให้เห็นได้ว่าจำเลยทั้งสี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินบริจาคดังกล่าวจริง ส่วนจำเลยทั้งสี่ต่างนำสืบปฏิเสธว่า ไม่เคยบริจาคเงินให้แก่วัดศรีคุณเมือง และจำเลยที่ 4 ยังนำสืบว่า วัดศรีคุณเมืองอยู่ในเขตเลือกตั้งที่ 2 ซึ่งเป็นคนละเขตเลือกตั้งกับที่จำเลยที่ 4 สมัครรับเลือกตั้ง แม้นายเลื่อน พยานจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จะเบิกความว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ของพยานจะรับซองกฐินซึ่งมีเงินอยู่ในซองมาแล้วจดชื่อผู้บริจาคที่ปรากฏอยู่หน้าซองกฐินและตรวจนับเงิน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมทำบุญทอดกฐินที่วัดศรีคุณเมืองด้วย แต่ก็จำไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทำบุญคนละเท่าใด และจำไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ร่วมทำบุญหรือไม่ นอกจากนี้ นายเลื่อนก็มิได้เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นผู้ยื่นซองกฐินที่มีเงินบริจาคอยู่ข้างในให้แก่นายเลื่อนด้วยตนเอง ขณะเบิกความนายเลื่อนมีอายุ 72 ปี และมาเบิกความหลังเกิดเหตุเกือบ 10 ปี ไม่น่าเชื่อว่าจะจำเหตุการณ์ได้ไม่ผิดพลาด จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เมื่อจำเลยทั้งสี่นำสืบปฏิเสธว่ามิได้บริจาคเงินให้แก่วัดศรีคุณเมือง ลำพังคำเบิกความพยานโจทก์ดังกล่าวข้างต้นซึ่งเป็นเพียงพยานบอกเล่า จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสี่บริจาคเงินให้แก่วัดศรีคุณเมืองเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่จำเลยทั้งสี่ ดังนั้น คำสั่งโจทก์ที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้งสี่ย่อมไม่ผูกพันจำเลยทั้งสี่ให้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 99 วรรคหนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากที่โจทก์ได้รับยกเว้นไม่ต้องชำระในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share