แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
วันเวลาเกิดเหตุจำเลยนอนเฝ้าห้างนาเพียงคนเดียว ผู้เสียหายซึ่งเป็นสามีได้ไปดื่มสุรากับเพื่อน เพิ่งไปหาจำเลยเมื่อเวลาประมาณเที่ยงคืน ทั้งยังได้บอกให้จำเลยไปหาข้าวมาให้รับประทานจำเลยต้องเดินไปเอาข้าวที่บ้านซึ่งอยู่ห่างห้างนาประมาณ 3 เส้นเมื่อเอามาให้แล้ว ผู้เสียหายไม่ยอมรับประทาน กลับบ่นว่าจำเลยและยังพูดถึงภรรยาน้อยอีกด้วย การกระทำของผู้เสียหายถือเป็นการข่มเหงน้ำใจอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยได้ใช้ปืนยิงผู้เสียหายในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 วางโทษจำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาจะต้องวินิจฉัยมีว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่า วันเวลาเกิดเหตุขณะผู้เสียหายและจำเลยนอนอยู่ที่ห้างนาผู้เสียหายกับจำเลยได้ทะเลาะโต้เถียงกันจำเลยได้ถือปืนหันปากกระบอกมาทางผู้เสียหายห่างผู้เสียหายประมาณ 1 ศอกผู้เสียหายใช้มือปัดปืนออกไป ปืนจึงลั่นถูกผู้เสียหาย แล้วจำเลยได้หลบหนีไปเมื่อรู้ว่าถูกปืน ผู้เสียหายได้ตะโกนด่าว่าจำเลย แล้ววิ่งไปหานางน้ำเต้าแพงวังทองพี่สะใภ้ผู้เสียหาย ซึ่งมีบ้านอยู่ห่างที่เกิดเหตุประมาณ 3เส้น ได้ร้องเรียกนางสาวใกล้ราตรี แพงวังทอง ให้ช่วย พอดีเห็นจำเลยตามมา ผู้เสียหายได้เข้าไปเตะจำเลยแล้วผู้เสียหายก็ล้มลงหมดสติไปรู้สึกตัวที่โรงพยาบาลวังทอง เห็นว่า ตามคำเบิกความของผู้เสียหาย ผู้เสียหายกับจำเลยอยู่ในลักษณะหันหน้าเข้าหากัน ดังนั้นเมื่อปืนลั่นกระสุนปืนน่าจะถูกด้านหน้า ไม่น่าจะมีบาดแผลเฉียงจากแก้มซ้ายแล้วกระสุนฝังในบริเวณโหนกแก้มขวา ดังที่ปรากฏตามรายงานการชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง นอกจากนี้ตามบันทึกคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.10ก็ได้ความว่า จำเลยนอนอยู่ด้านซ้ายมือของผู้เสียหายและใช้ปืนจ่อมาทางซ้ายมือของผู้เสียหาย กระสุนปืนจึงถูกที่แก้มซ้ายไปทะลุแก้มขวาสำหรับบาดแผลที่คอด้านหลัง ผู้เสียหายไม่ได้เบิกความว่าถูกจำเลยยิงทำร้าย คงเบิกความแต่เพียงว่า เมื่อเตะจำเลยแล้วก็หมดสติไป แต่ได้ความจากคำเบิกความของนางน้ำเต้าและนางสาวใกล้ราตรีว่าหลังจากมีเสียงปืนดังนัดแรกแล้ว ผู้เสียหายได้ไปร้องขอให้ช่วยต่อมาก็มีเสียงปืนดังอีก 2 นัดดังนั้นบาดแผลที่โหนกแก้มด้านขวาและหลังคอด้านขวาน่าจะเกิดจากการยิงครั้งที่สองที่ผู้เสียหายไม่ได้เบิกความว่าจำเลยได้ไล่ติดตามยิงซ้ำหลังจากยิงนัดแรกแต่เบิกความทำนองว่าได้พบจำเลยในตอนหลังโดยบังเอิญ จึงไม่ตรงต่อความจริงและเป็นการเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลย ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยได้ใช้ปืนจ่อยิงผู้เสียหายนัดแรกแล้วเมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีจำเลยก็ได้วิ่งไล่ตามผู้เสียหายไปทันทีแล้วยิงอีก 2 นัด ที่จำเลยนำสืบว่าได้ทะเลาะโต้เถียงกับผู้เสียหาย จำเลยได้คว้าปืนจากที่นอนผู้เสียหายใช้มือปัดปืน ปืนจึงลั่นถูกผู้เสียหาย และหลังจากปืนลั่นนัดแรกแล้ว จำเลยได้วางปืนไว้ แล้วได้ลงไปปัสสาวะเสร็จแล้วจึงได้กลับไปที่ห้างนาเอาเสื้อผ้าไปมอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งแตกต่างและขัดแย้งกับคำให้การชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.9ที่ว่าปืนลั่นนัดแรกเพราะแย่งปืนกันและต่อมาเมื่อจำเลยตามผู้เสียหายไปที่บ้านนางน้ำเต้าก็ได้แย่งปืนกัน ปืนจึงลั่นอีกแต่ไม่ทราบว่ากี่นัด ข้อนำสืบของจำเลยจึงเป็นพิรุธไม่มีน้ำหนัก ยิ่งกว่านั้นในชั้นสอบสวนจำเลยยังให้การรับสารภาพ ได้แสดงท่าเล็งปืนปรากฏตามบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.8 และเมื่อพบผู้เสียหายที่โรงพยาบาลจำเลยก็บอกว่ายิงผู้เสียหายเพราะโกรธที่ถูกผู้เสียหายรังแก ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยใช้ปืนยิงทำร้ายผู้เสียหายด้วยเจตนาฆ่า เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง สำหรับข้อที่ว่าจำเลยได้กระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าวันเวลาเกิดเหตุจำเลยนอนเฝ้าห้างนาเพียงคนเดียว ผู้เสียหายไปดื่มสุรากับเพื่อน เพิ่งไปหาจำเลยเมื่อเวลาประมาณเที่ยงคืน ได้บอกให้จำเลยไปหาข้าวมาให้รับประทาน จำเลยต้องเดินไปเอาข้าวที่บ้านซึ่งอยู่ห่างห้างประมาณ3 เส้น เมื่อเอามาให้แล้ว ผู้เสียหายไม่ยอมรับประทานกลับบ่นว่าจำเลยและยังพูดถึงภรรยาน้อยอีกด้วย การกระทำของผู้เสียหายดังกล่าวเป็นการข่มเหงน้ำใจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจำเลยได้ใช้ปืนยิงผู้เสียหายในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ…”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288,80 ประกอบด้วยมาตรา 72 ลงโทษจำคุก 2 ปี จำเลยเป็นหญิงไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน สมควรรอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี.