แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยฎีกาว่า ตามพินัยกรรมมีชื่อสามีของโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมลงชื่อเป็นพยานด้วย. โดยจำเลยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงข้อนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้น และจำเลยฎีกาว่าที่พิพาทต้องตกเป็นของจำเลยตามข้อตกลงแบ่งทรัพย์ระหว่างจำเลยกับเจ้ามรดก ซึ่งเจ้ามรดกมิได้บอกล้าง โดยจำเลยมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์คงกล่าวแก้อุทธรณ์โจทก์เพียงข้อเดียวว่า พินัยกรรมตามฟ้องไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ดังนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาทั้งสองข้อนี้ให้ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายมอญ ลานอก บิดาของโจทก์ที่ 2 ทำพินัยกรรมยกที่ดินให้โจทก์ทั้งสอง เมื่อนายมอญถึงแก่กรรม โจทก์ทั้งสองไปร้องขอรับมรดกต่ออำเภอ จำเลยไปคัดค้าน จึงขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกตามพินัยกรรม จำเลยให้การว่า โจทก์กับพวกสมคบกันทำพินัยกรรมขึ้น เมื่อนายมอญอายุ 111 ปี กำลังป่วยหนักจะสิ้นใจ ขาดสติสัมปชัญญะขาดเจตนาที่จะให้เป็นไปตามพินัยกรรม เดิมที่พิพาทเป็นมรดกของบิดามารดาจำเลย ต่อมาบุตรทั้งสี่คนคือ นายมอญ จำเลย นายเทียม และนายน้อยตกลงแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าว โดยปลัดอำเภอเป็นผู้ทำบันทึกการแบ่งไว้เป็นหลักฐาน นายมอญได้รับส่วนแบ่งนาพิพาท และได้ตกลงกันว่าเมื่อนายมอญถึงแก่กรรม ให้ทรัพย์พิพาทตกเป็นของจำเลย นายเทียม และนายน้อย โจทก์ทำพินัยกรรมขึ้นโดยไม่สุจริต พินัยกรรมตามฟ้องไม่มีผลตัดสิทธิจำเลยที่จะรับมรดกของนายมอญ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นายมอญทำพินัยกรรมตามฟ้องโดยขาดสติสัมปชัญญะ ขาดเจตนาที่จะให้เป็นพินัยกรรม ไม่มีผลบังคับตามกฎหมายพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานจำเลยรับฟังไม่ได้ว่านายมอญทำพินัยกรรมขณะสติไม่ดีและถูกบังคับให้ลงชื่อในพินัยกรรม พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกที่พิพาทตามพินัยกรรม
ระหว่างฎีกา นางไข่ จำปาบุญ จำเลยถึงแก่กรรม นางสุน อาษาสะนะยื่นคำร้องขอรับมรดกความ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยฎีกาว่า ขณะทำพินัยกรรม เจ้ามรดกป่วยหนักขาดสติ ไม่มีเจตนาที่จะให้เป็นไปตามพินัยกรรม ตามพินัยกรรมมีชื่อนายเห พูลศิริ สามีของโจทก์ที่ 2 ลงชื่อเป็นพยานด้วย ที่พิพาทต้องตกเป็นของจำเลยตามข้อตกลงแบ่งทรัพย์ เอกสารหมาย ล.1 ซึ่งเจ้ามรดกมิได้บอกล้าง พินัยกรรมที่โจทก์นำมาฟ้องไม่มีผลตามกฎหมาย
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ขณะทำพินัยกรรม นายมอญมีสติสัมปชัญญะพูดจารู้เรื่องดี วินิจฉัยว่าพินัยกรรมของนายมอญสมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่าตามพินัยกรรมมีชื่อนายเห พูลศิริ ซึ่งเป็นสามีของโจทก์ที่ 2 ลงชื่อเป็นพยานด้วยนั้นจำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงข้อนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้น และข้อที่จำเลยฎีกาว่าที่พิพาทต้องตกเป็นของจำเลยตามข้อตกลงแบ่งทรัพย์เอกสาร ล.1 ซึ่งเจ้ามรดกมิได้บอกล้างนั้นก็เห็นว่า จำเลยมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ คงกล่าวแก้อุทธรณ์โจทก์เพียงข้อเดียวว่า พินัยกรรมตามฟ้องไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยปัญหาทั้งสองข้อนี้ให้ไม่ได้
พิพากษายืน