คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 160/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาท ร. สามีจำเลยเป็นผู้ไปแจ้งการครอบครอง และ ร. ได้นำที่ดินไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ทั้งปรากฏตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวว่ามีชื่อ ร.เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ต่อมา ร. ตาย จำเลย และบุตรได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินแปลงนี้ต่อมาตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้องคดี เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งหมดมาด้วย คำพิพากษาอุทธรณ์ที่พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ด้วยนั้น จึงมีผลเป็นการบังคับบุคคลนอกคดี ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยเท่านั้นแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าสองแปลง เนื้อที่ประมาณ 36 ตารางวา และ 12 ตารางวาโดยโจทก์ซื้อจากผู้มีชื่อเมื่อประมาณ 40 ปีเศษมาแล้ว ที่ดินทั้งสองแปลงนี้ จำเลยซึ่งเป็นบุตรของโจทก์และนายเรือง สุขเจริญสามีจำเลย ได้แจ้งการครอบครองและขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไว้แทนโจทก์คนละแปลง ต่อมาโจทก์ประสงค์ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองแปลงเป็นชื่อของโจทก์ แต่จำเลยไม่ยินยอมโดยอ้างว่าเป็นที่ดินของตน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินของตน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 639 และ 1105เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนเป็นชื่อโจทก์ หากไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่พิพาททั้งสองแปลงโดยจำเลยและสามีจำเลยซื้อมาจากนางอ่อน ปทุมลัย และนายคำนวน ศิริรัตนพงษ์ เมื่อประมาณปี 2499 ที่พิพาทแปลงหนึ่งจำเลยอนุญาตให้น้องชายของจำเลยเข้าอยู่อาศัย ส่วนอีกแปลงหนึ่งจำเลย สามีจำเลย และบิดามารดาจำเลยเข้าอยู่อาศัยร่วมกันหลังจากสามีจำเลยถึงแก่กรรมแล้ว จำเลยได้โอนที่ดินพิพาทแปลงซึ่งมีชื่อสามีจำเลยเป็นเจ้าของมาเป็นของจำเลยและบุตร ต่อมาจำเลยทะเลาะกับน้องชายของจำเลยอย่างรุนแรง จำเลยจึงออกจากบ้านพิพาทไปเช่าบ้านอยู่ต่างหาก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 639และ 1005 ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทดังกล่าวแก่โจทก์หากไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทแปลงดีกว่าจำเลย แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 1105 แก่โจทก์ด้วยนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าที่ดินแปลงนี้นายเรือง สุขเจริญ สามีจำเลยเป็นผู้ไปแจ้งการครอบครอง และนายเรืองได้นำที่ดินไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวว่ามีชื่อนายเรืองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองต่อมานายเรืองตาย จำเลยและบุตรได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินแปลงนี้ต่อมาตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้องคดี ดังปรากฏตามเอกสารหมาย ล.2เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งหมดมาด้วย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในส่วนนี้จึงมีผลเป็นการบังคับบุคคลนอกคดี ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1005 เฉพาะส่วนของจำเลยแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share