คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2976/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและได้ยื่นคำขอจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินแล้ว จำเลยก็สามารถนำพยานบุคคลมาสืบได้ว่าความจริงเป็นการทำสัญญากู้เงินกัน ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง เพราะเป็นการนำสืบว่าสัญญาซื้อขายนั้นเป็นนิติกรรมอำพราง ต้องบังคับตามสัญญาที่แท้จริงคือสัญญากู้เงิน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2540 จำเลยตกลงขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 3403/202 เนื้อที่ 1 งาน 8 ตารางวา ในราคา 50,000 บาท แก่โจทก์ แต่จำเลยผิดสัญญา ขอให้จำเลยไปทำการโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 3403/202 เล่ม 11 หน้า 156 หมู่ที่ 9 ตำบลหมากแข้ง (หนองบัว) อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เนื้อที่ 1 งาน 8 ตารางวา พร้อมทั้งส่งมอบการครอบครองที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์หากจำเลยไม่ปฎิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2540 จนกว่าจะโอนทางทะเบียนและส่งมอบการครอบครองที่ดินแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า สัญญาซื้อขายเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมเงิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 3403/202 เล่ม 11 หน้า 156 หมู่ที่ 9 ตำบลหมากแข้ง (หนองบัว) อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เนื้อที่ 1 งาน 18 ตารางวา (ที่ถูก 8 ตารางวา) และส่งมอบการครอบครองให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยใช้เงินเดือนละ 500 บาท นับแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2540 จนกว่าจำเลยจะโอนและส่งมอบที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 4,000 บาท
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นโดยคู่ความไม่โต้แย้งในชั้นฎีกานี้ว่า เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2540 จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 3403/202 หมู่ที่ 9 ตำบลหมากแข้ง (หนองบัว) อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เนื้อที่ 1 งาน 8 ตารางวา ให้แก่โจทก์ ในราคา 50,000 บาท และรับเงินไปจากโจทก์แล้ว จำเลยได้ยื่นคำขอจดทะเบียนไว้ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ตามเอกสารหมาย จ.2 เจ้าพนักงานที่ดินประกาศการซื้อขายตามระเบียบเป็นเวลา 30 วัน ครบกำหนดตามประกาศการไม่มีผู้ใดคัดค้าน จำเลยไม่ไปจดทะเบียนโอนขายให้โจทก์ มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์จำเลย ตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นสัญญาอำพรางการกู้เงินหรือไม่นั้น ในประการแรกเห็นควรวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์ก่อนว่า เมื่อโจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.2 แล้ว จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบว่า สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นสัญญาอำพรางการกู้เงิน เป็นการไม่ชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 นั้น เห็นว่า แม้โจทก์จำเลยจะได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์กันไว้ และได้ยื่นคำขอจดทะเบียนไว้ต่อเจ้าพนักงานที่ดินตามเอกสารหมาย จ.2 แล้วก็ตาม จำเลยก็สามารถนำพยานบุคคลมาสืบได้ว่า ความจริงเป็นการทำสัญญากู้เงินกัน ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง เพราะเป็นการนำสืบว่าสัญญาซื้อขายนั้นเป็นนิติกรรมอำพราง ต้องบังคับตามสัญญาที่แท้จริงคือสัญญากู้เงิน ข้ออ้างของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้เงินหรือไม่…… พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.2 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาและเรียกค่าเสียหายได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห้นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ.

Share