คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2976/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เคยขอยึดทรัพย์ไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องอ้างว่าเป็นทรัพย์ของผู้ร้อง ซึ่งโจทก์ก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้อง แต่คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ขอหมายบังคับคดีภายใน15 วัน การยึดทรัพย์จึงเป็นอันยกเลิก ต่อมาโจทก์จึงขอให้ยึดทรัพย์ของจำเลยรายเดียวกันนี้ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์เป็นของผู้ร้องในคำร้องคัดค้านคำร้องขัดทรัพย์ของโจทก์แม้จะไม่ได้กล่าวตรงๆว่าไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้องเช่นเดียวกับคดีแรก แต่โจทก์ก็กล่าวอ้างว่าแม้ศาลจะไม่ได้วินิจฉัยในครั้งก่อนแต่สิทธิของโจทก์ตามกฎหมายที่จะยึดทรัพย์ของจำเลยยังมีอยู่ เมื่อทรัพย์รายนี้เป็นทรัพย์รายเดียวกับคดีเดิม จึงพอถือได้ว่าโจทก์ให้การต่อสู้ว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยซึ่งมีผลเท่ากับโจทก์ปฏิเสธข้ออ้างของผู้ร้องว่าไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้องจึงเป็นคำให้การที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลย ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดบางรายการเป็นของผู้ร้อง เมื่อสืบพยานทั้งสองฝ่ายเสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ขอหมายบังคับคดีภายใน 15 วันนับแต่วันสิ้นระยะเวลาที่กำหนดในคำบังคับ คำสั่งที่ให้ยึดทรัพย์สินเป็นอันยกเลิกไปโดยไม่ต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของทรัพย์หรือไม่ พิพากษาให้ยกคำร้อง ต่อมาโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยอีกครั้งหนึ่ง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดบางรายการเป็นของผู้ร้อง ขอให้เพิกถอนการยึด

โจทก์ให้การว่า คำร้องขัดทรัพย์เคลือบคลุม โจทก์ใช้สิทธิในการยึดทรัพย์ของจำเลยโดยสุจริต ขอให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องและโจทก์ไม่ติดใจสืบพยาน ขอให้ถือเอาพยานหลักฐานที่นำสืบในคดีก่อนเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปล่อยทรัพย์สินบางรายการแก่ผู้ร้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ทรัพย์รายการเดียวกันนี้โจทก์เคยขอยึดทรัพย์ไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา และผู้ร้องขัดทรัพย์ก็เคยยื่นคำร้องขัดทรัพย์โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของผู้ร้อง ซึ่งโจทก์ก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่ของผู้ร้อง และคดีได้ดำเนินมาจนกระทั่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ขอหมายบังคับคดีภายใน 15 วัน การยึดทรัพย์จึงเป็นอันยกเลิกไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(2) ต่อจากนั้นโจทก์จึงขอให้ยึดทรัพย์ของจำเลยรายเดียวกันนี้อีก ซึ่งผู้ร้องก็ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์เป็นของผู้ร้องและโจทก์ก็ยื่นคำคัดค้านคำร้องขัดทรัพย์อีกตามคำร้องคัดค้านของโจทก์ดังกล่าวนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงว่าทรัพย์เป็นของผู้ใดนั้น แม้โจทก์จะไม่ได้กล่าวตรง ๆ ว่าไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้องเช่นเดียวกับคำคัดค้านฉบับแรกแต่โจทก์ก็กล่าวอ้างว่า แม้ศาลจะไม่ได้วินิจฉัยในครั้งก่อนเพราะโจทก์มิได้ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีภายใน 15 วัน แต่สิทธิของโจทก์ตามกฎหมายที่จะยึดทรัพย์ของจำเลยยังมีอยู่ เมื่อทรัพย์รายนี้เป็นทรัพย์รายเดียวกันกับคดีเดิม จึงพอถือได้ว่าโจทก์ให้การต่อสู้ว่าเป็นทรัพย์ของจำเลย ซึ่งมีผลเท่ากับโจทก์ปฏิเสธข้ออ้างของผู้ร้องว่าทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องของผู้ร้องไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้อง จึงเป็นคำให้การที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 และมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปเนื่องจากศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าว เพื่อให้เป็นไปตามลำดับขั้นตอนของศาล เห็นควรส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่

พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และให้ส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ในประเด็นที่ว่า ทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องขัดทรัพย์เป็นของผู้ร้องหรือมิใช่

Share