คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2975/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้จัดการฝ่ายส่งออกของโจทก์ได้เบิกเงินค่าใช้สอยล่วงหน้าเป็นค่าเดินทางไปติดต่อธุรกิจต่างประเทศจากโจทก์รวม56ครั้งเงินที่เบิกไปนี้จำเลยมีสิทธิครอบครองใช้จ่ายได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องขออนุมัติจากโจทก์ทั้งโจทก์มิได้กำหนดการจ่ายไว้เป็นที่แน่นอนสุดแล้วแต่จำเลยจะเห็นสมควรใช้จ่ายอย่างใดแล้วนำหลักฐานมาหักหนี้ในทางบัญชีกับโจทก์ในภายหลังกรรมสิทธิ์ในเงินดังกล่าวจึงตกเป็นของจำเลยตั้งแต่ขณะที่ได้รับไปจากโจทก์หาใช่จำเลยครอบครองเงินดังกล่าวไว้แทนโจทก์ไม่ดังนั้นแม้ต่อมาจำเลยออกจากบริษัทโจทก์และส่งหลักฐานการใช้จ่ายเบิกเงินล่วงหน้าได้เพียงบางส่วนเงินที่เหลือไม่มีหลักฐานมาแสดงก็ตามโจทก์ก็ชอบที่จะเรียกร้องทางแพ่งเอาแก่จำเลยกรณีไม่มีมูลความผิดทางอาญาฐานยักยอก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นกรรมการและผู้จัดการฝ่ายส่งออกของโจทก์โจทก์ได้มอบหมายให้ครอบครองเงินประเภทค่าใช้สอยล่วงหน้าในการติดต่อเพื่อธุรกิจ และมีสิทธินำเงินจำนวนนี้ไปใช้จ่ายเพื่อธุรกิจของโจทก์ได้ จำเลยได้เบิกเงินค่าใช้สอยล่วงหน้าจากโจทก์ไปรวม 56 ครั้งเป็นเงิน 858,136 บาท 75 สตางค์ จำเลยได้กระทำผิดโดยทุจริตเบียดบังเอาเงินจำนวน 671,302 บาท 49 สตางค์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือผู้อื่นโดยแสดงหลักฐานการใช้เงินที่เบิกล่วงหน้าได้เพียง 186,434บาท 26 สตางค์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352,353, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว วินิจฉัยว่า เป็นเรื่องความรับผิดทางแพ่ง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เงินค่าใช้สอยที่จำเลยเบิกไปจากโจทก์จำเลยมีสิทธิครอบครองใช้จ่ายได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องขออนุมัติโจทก์โจทก์มิได้กำหนดการจ่ายไว้เป็นที่แน่นอน จึงสุดแล้วแต่จำเลยจะเห็นสมควรใช้จ่ายอย่างใด แล้วนำหลักฐานมาหักหนี้ในทางบัญชีกับโจทก์ในภายหลัง กรรมสิทธิ์ในเงินดังกล่าวจึงตกเป็นของจำเลยตั้งแต่ขณะที่ได้รับไปจากโจทก์ หาใช่จำเลยครอบครองเงินดังกล่าวไว้แทนโจทก์ไม่ หากปรากฏว่า จำเลยไม่มีหลักฐานพอที่จะนำมาหักหนี้ หรือมีเงินเหลือไม่ส่งคืนก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะเรียกร้องทางแพ่งเอากับจำเลย การกระทำของจำเลยไม่มีมูลเป็นความผิดฐานยักยอก”
พิพากษายืน.

Share