แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อผู้เสียหายได้รับประกันตัว เหตุที่จะจับผู้เสียหายตามหมายจับของศาลก็เป็นอันหมดไป เจ้าพนักงานตำรวจไม่มีเหตุจับผู้เสียหายโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยทราบดีอยู่แล้ว ยังจงใจใช้หมายจับที่ศาลได้ออกก่อนผู้เสียหายมีประกันตัวมาให้เจ้าพนักงานตำรวจจับผู้เสียหายอีกเจ้าพนักงานตำรวจจำต้องจับกุมตามหมายศาล จึงไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในดุลพินิจของเจ้าพนักงานตำรวจ ที่จะพิจารณาว่าสมควรจับกุมตามควรแก่กรณีหรือไม่ รูปคดีชี้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาร้ายทำให้ผู้เสียหายต้องถูกจับ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2519 ศาลแขวงพระนครเหนือ ได้ออกหมายจับนายสมศักดิ์ในคดีอาญา ต่อมาวันที่ 30 เดือนเดียวกัน นายสมศักดิ์เข้ามอบตัวต่อศาลและได้รับอนุญาตให้มีประกันตัวในวันเดียวกัน วันที่ 7 พฤษภาคม 2519 จำเลยกับพวกได้นำสำเนาหมายจับไปแสดงต่อเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อขอให้จับผู้เสียหาย โดยปกปิดไม่แจ้งให้ทราบว่าผู้เสียหายได้รับประกันตัวไปแล้ว ตำรวจหลงเชื่อจึงจับกุมผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310, 84 จำคุก 3 เดือน ปรับ 500 บาท แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า จำเลยทราบดีว่าผู้เสียหายได้รับอนุญาตให้ประกันตัวไปแล้ว แต่ยังจงใจใช้สำเนาหมายจับที่ศาลออกก่อนผู้เสียหายมีประกันมาให้ตำรวจจับกุมผู้เสียหายอีก วินิจฉัยว่าเมื่อผู้เสียหายได้รับประกันตัวแล้ว เหตุที่จะจับผู้เสียหายตามหมายจับของศาลก็เป็นอันหมดไป เจ้าพนักงานตำรวจไม่มีเหตุจับผู้เสียหายโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยทราบดีแล้วว่าผู้เสียหายได้รับประกันตัวไปแล้ว ยังจงใจใช้หมายจับที่ศาลได้ออกก่อนผู้เสียหายมีประกัน มาให้เจ้าพนักงานตำรวจจับผู้เสียหายอีกเจ้าพนักงานตำรวจจำต้องจับกุมตามหมายของศาล จึงไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในดุลพินิจของเจ้าพนักงานตำรวจที่จะพิจารณาว่าสมควรจับกุมผู้เสียหายตามควรแก่กรณีหรือไม่ รูปคดีชี้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาร้ายทำให้ผู้เสียหายต้องถูกจับ จึงมีความผิดตามฟ้อง
พิพากษายืน