คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 297/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยานนั่งไปในกระบะท้าย รถยนต์ ขนาดหกล้อซึ่งแล่นไปตามถนนลูกรังด้วยความเร็วเกือบ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีฝุ่นฟุ้ง กระจายเต็มท้ายรถที่แล่นไป คนร้ายขับรถจักรยานยนต์ตามหลังรถที่พยานนั่ง ดังนี้ โอกาสที่พยานจะมองฝ่า ละอองฝุ่นที่ฟุ้ง กระจายเต็มท้ายรถที่ตนนั่งไปถึงขนาดเห็นหน้าคนร้ายชัดเจนนั้นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ยิ่ง เป็นคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ประกอบกับมีช่วงเวลาเพียง 5 นาที ความเป็นไปไม่ได้ก็ยิ่ง มีมากขึ้นไปอีกจึงไม่น่าเชื่อว่าพยานจะจำคนร้ายได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289,83, 80, 340, 340 ตรี, 309, 310, 295 และให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 25,400 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 289(6) ประกอบมาตรา 80, 295, 310 วรรคแรก, 340วรรคสี่ ประกอบมาตรา 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานปล้นทรัพย์ ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกตลอดชีวิต ความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น ลงโทษฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 1 ปี รวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1ตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ให้จำเลยที่ 1คืนนาฬิกาหรือใช้ราคา (น่าจะหมายถึงราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน)เบิกความของนายถาวร บัวสด ได้ความว่า คนร้ายขับขี่ขึ้นหน้ารถยนต์ของนายสุชาติบ้าง ตามหลังบ้าง ดังนี้ในช่วงที่คนร้ายขับขี่รถจักรยานยนต์ขึ้นหน้ารถยนต์ของนายสุชาติ นายถาวร บัวสด จะไม่มีโอกาสเห็นหน้าของคนร้ายได้เลย จะมีโอกาสเห็นได้ก็ตอนที่ขับขี่ตามหลังเท่านั้น ช่วงที่คนร้ายขับขี่รถจักรยานยนต์ตามหลังจะรับฟังว่าจำคนร้ายได้หรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับเหตุตอนนี้ได้ความตามคำของนายสุชาติว่ารถยนต์ของนายสุชาติเป็นรถหกล้อ ตามคำของนายถาวร บัวสด ก็ว่า ถนนที่คนร้ายขับรถยนต์ของนายสุชาติไปนั้นเป็นถนนลูกรัง คนร้ายขับรถยนต์ด้วยความเร็วเกือบ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีฝุ่นเต็ม การที่รถยนต์ขนาดหกล้อซึ่งนับว่าเป็นรถใหญ่แล่นไปตามถนนลูกรังด้วยความเร็วเกือบ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเช่นนี้ เป็นที่เห็นได้อย่างแน่ชัดว่าจะต้องมีฝุ่นฟุ้งกระจายเต็มท้ายรถที่แล่นไป ซึ่งนายถาวร บัวสด ก็เบิกความรับว่ามีฝุ่นเต็มในสภาพเช่นนี้โอกาสที่คนในรถคันหลังจะมองเห็นรถคันหน้าหรือคนในรถคันหน้าจะมองเห็นรถคันหลังได้ให้เป็นที่ชัดเจนนั้น ย่อมไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ แม้กระทั่งการที่จะมองรถยังไม่อาจเห็นได้โดยชัดเจนเช่นนี้แล้ว โอกาสที่คนที่นั่งในรถคันหน้าจะมองฝ่าละอองฝุ่นที่ฟุ้งกระจายเต็มท้ายรถที่ตนนั่งไปถึงขนาดที่จำหน้าคนที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามหลังมาได้นั้น ยิ่งเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเช่นนายถาวร บัวสด กับจำเลยที่ 1 ด้วยแล้ว ความเป็นไปไม่ได้ก็ยิ่งมีมากขึ้นไปอีก ทั้งช่วงเวลาตอนนี้ก็มีเพียง 5 นาทีเท่านั้นศาลฎีกาจึงไม่อาจจะเชื่อได้ว่านายถาวร บัวสด จะจำคนร้ายได้ว่าเป็นจำเลยที่ 1 นอกจากนี้คำเบิกความของนายถาวร บัวสด ยังมีข้อพิรุธเกี่ยวกับเรื่องการจดจำคนร้ายอีกหลายประการคือ นายถาวร บัวสดเบิกความว่า เห็นหน้าและจำคนร้ายได้ 2 คน คือคนร้ายที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่าคอนคอตตามหลังมาขณะที่คนร้ายขับรถพานายสุชาติและนายถาวร บัวสด หนีไป ส่วนคนร้ายอีกคนหนึ่งคือคนร้ายที่พาไปมัดไว้บนถ้ำ แต่ในชั้นสอบสวนนายถาวร บัวสด ให้การว่าจำคนร้ายได้ 3 คน และเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับคนร้ายมาได้ 4 คนนายถาวร บัวสด ก็ชี้ตัวว่าเป็นคนร้ายทั้ง 4 คน นอกจากนี้ในชั้นสอบสวนนายถาวร บัวสด ให้การว่า คนร้ายที่จำได้แม่นยำที่สุดและจำได้เป็นอย่างดีคือคนร้ายที่มีอายุประมาณ 40 ปี แต่อายุของจำเลยที่ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์นั้น จำเลยที่ 1 มีอายุมากที่สุดคือมีอายุ 31 ปี ซึ่งแตกต่างกับที่นายถาวร บัวสด ประมาณไว้ในคำให้การชั้นสอบสวนเกือบ 10 ปี ถ้าเห็นชัดเจนจริงก็ไม่น่าจะประมาณผิดความจริงถึงขนาดนี้ นอกจากนั้นเมื่อพิจารณาถึงคำพยานที่เป็นพยานแวดล้อมกรณีอันมีคำของร้อยตำรวจโทสุวัฒน์ แตงคูหาผู้จับกุมจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับการสืบสวนหาตัวคนร้าย ได้ความตามคำของร้อยตำรวจโทสุวัฒน์ตอนหนึ่งว่า จากการสืบสวนทราบว่ามีพ่อค้ารับซื้อยางพาราซึ่งอยู่ตำบลบางรูป อำเภอทุ่งใหญ่ ไม่พอใจที่นายสุชาติมาซื้อยางพารา พ่อค้านั้นจึงได้ทำการวางแผนปล้นทรัพย์นายสุชาติ และได้ความจากคำของพยานโจทก์ปากนี้อีกตอนหนึ่งว่าหลังเกิดเหตุหนึ่งวันในตอนค่ำมีชาวบ้านที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุที่คนร้ายถูกยิงตายมาบอกที่ฐานปฏิบัติการว่า คนร้ายคือจำเลยที่ 1ด้วย โดยชาวบ้านบอกว่าเห็นขณะที่คนร้ายพาผู้เสียหายลงจากรถแต่โจทก์ก็มิได้นำชาวบ้านที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์ตามคำของร้อยตำรวจโทสุวัฒน์มาเบิกความ ทั้งเมื่อเปรียบเทียบข้อเท็จจริงที่ร้อยตำรวจโทสุวัฒน์อ้างว่าได้จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน ก็แตกต่างกับคำของนายถาวร บัวสด เพราะตามคำของนายถาวร บัวสดได้ความว่า คนร้ายที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามรถยนต์ของนายสุชาติที่คนร้ายขับพานายสุชาติไปซึ่งอ้างว่าเป็นจำเลยที่ 1 นั้น ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามไปห่างจากที่จอดรถประมาณ 2 กิโลเมตรจึงหลบหายไปตามคำเบิกความของนายถาวร บัวสด ดังนี้ ไม่มีคนร้ายที่อ้างว่าเป็นจำเลยที่ 1 พานายสุชาติลงจากรถด้วย นอกจากนั้นตามบันทึกการจับกุมก็ระบุเป็นการชัดเจนว่า จับกุมโดยนายถาวร บัวสด เป็นผู้ชี้และยืนยันให้จับกุม ทั้ง ๆ ที่คำเบิกความของนายถาวร บัวสดมิได้เบิกความถึงเลยว่าเป็นผู้ชี้ให้ทำการจับกุม คงเบิกความว่าหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมคนร้ายได้ 4 คน แล้วได้ตามให้ไปดูและชี้ตัวคนร้าย ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจับกุมคนร้ายนั้นจะได้มาจากพยานหลักฐานในเบื้องต้นอย่างไร หรือได้จากการสืบสวนหรือมีพยานรู้เห็นเป็นเบื้องต้นว่าคนร้ายเป็นใครก็ยังฟังเอาเป็นความจริงที่แน่นอนไม่ได้ เช่นนี้ พยานโจทก์ที่มีก็แต่คำของนายถาวรบัวสด ปากเดียวที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้าย แต่ก็ขัดแย้งด้วยเหตุผลในการที่จะให้เชื่อว่าจำได้จริง ดังที่กล่าวไว้ในคำวินิจฉัยข้างต้น ศาลฎีกาจึงเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายรายนี้ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงพยานจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 มานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นส่วนฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 เสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share