คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2967/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาจ้างระบุจ่ายค่าจ้าง และสวัสดิการ ค่าเช่าบ้าน ค่าเดินทาง เมื่อผ่านการทดลองงาน จำเลยจะบรรจุให้เป็นพนักงานประจำ โดยมีสวัสดิการเบี้ยขยันให้ตามหลักเกณฑ์ บ้านพักที่จำเลยจัดให้พนักงานมี 80 ห้อง พนักงานที่ไม่มีบ้านพักจะได้ค่าเช่า ในกรณีของโจทก์ไม่ต้องการบ้านพักก็จะช่วยเหลือเป็นค่าเช่า การตกลงจ่ายเงินดังกล่าวกันตามสัญญาจ้างของโจทก์กับจำเลยมีเจตนามาตั้งแต่แรกที่จะให้เป็นสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือพนักงานนอกเหนือจากค่าจ้างที่กำหนดไว้เป็นเงินเดือน แม้ค่าเช่าบ้านและค่าพาหนะจำเลยจะจ่ายให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือน โดยไม่มีเงื่อนไขว่าต้องนำเอกสารหรือหลักฐานมาเบิกจ่าย ก็เป็นเพียงวิธีการจ่ายเงินในลักษณะเหมาจ่ายเพื่อความสะดวกในทางปฏิบัติ และมิได้แสดงว่าคู่สัญญาจะเปลี่ยนเจตนาให้สวัสดิการนั้นกลายเป็นค่าจ้าง
จำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาจ้างเนื่องจากโจทก์ไม่สามารถปฏิบัติงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบได้ หรืออาจกล่าวว่าโจทก์ขาดสมรรถภาพที่จะทำงานและรับผิดชอบในตำแหน่งที่ได้รับการว่าจ้าง มิใช่เป็นเรื่องการลงโทษเพราะโจทก์กระทำผิดทางวินัยตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน จำเลยมิได้กลั่นแกล้งโจทก์ กรณีจึงมีเหตุผลเพียงพอและสมควรที่จำเลยจะเลิกสัญญาจ้างโจทก์ได้ ไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ตามมาตรา 49 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522
โจทก์ไม่ได้ไปทำงานเนื่องจากลาป่วยและลากิจ แต่โจทก์กลับทำบันทึกรายงานการตรวจงาน โรงอาหาร ร้านค้า พร้อมกับแสดงข้อสังเกต แสดงว่าโจทก์รายงานเท็จ เมื่อได้ความว่ามีการกระทำเช่นนั้นในงานหลักซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของโจทก์ ย่อมถือได้ว่า โจทก์มีการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต ทำให้จำเลยนายจ้างมีสิทธิที่จะให้โจทก์ลูกจ้างออกจากงานได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 583

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 6,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 19,724 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 25,320 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 2 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยระบุว่า ตกลงจ่ายค่าจ้างจำนวนเงิน 22,000 บาท และสวัสดิการ ค่าเช่าบ้านเดือนละ 1,000 บาท ค่าเดินทางเดือนละ 1,000 บาท ประกันชีวิตทุนประกัน 200,000 บาท เมื่อผ่านการทดลองงานบริษัทจะบรรจุให้เป็นพนักงานประจำ โดยมีสวัสดิการเบี้ยขยันให้ตามหลักเกณฑ์ ซึ่งก็สอดคล้องกับประกาศรับสมัครที่โจทก์ประกาศรับสมัครตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบุคคลและธุรการโดยระบุไว้ว่า มีสวัสดิการ เช่น ค่าเช่าบ้าน หอพักบริษัท รถรับส่งพนักงาน ค่าอาหาร ฯลฯ และได้ความจากนายภาสกร ผู้ช่วยผู้จัดการโรงงานของจำเลยว่า สวัสดิการของลูกจ้างมีรถรับส่ง ค่าอาหาร และบ้านพักพนักงาน ในกรณีของโจทก์ไม่ต้องการบ้านพักก็จะช่วยเหลือเป็นค่าเช่าเดือนละ 1,000 บาท บ้านพักที่บริษัทจัดให้พนักงานพักอาศัยมี 80 ห้อง สำหรับพนักงานทั่วไปที่ไม่มีบ้านพักจะได้ค่าเช่าเดือนละ 500 บาท แต่ผู้บริหารจะได้เดือนละ 1,000 บาท ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า การตกลงจ่ายเงินดังกล่าวกันตามสัญญาจ้างของโจทก์กับจำเลยมีเจตนามาตั้งแต่แรกที่จะให้เป็นสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือพนักงานนอกเหนือจากค่าจ้างที่กำหนดไว้เป็นเงินเดือน แม้ค่าเช่าบ้าน และค่าพาหนะจำเลยจะจ่ายให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือน โดยไม่มีเงื่อนไขว่าต้องนำเอกสารหรือหลักฐานมาเบิกจ่าย ก็เป็นเพียงวิธีการจ่ายเงินในลักษณะเหมาจ่ายเพื่อความสะดวกในทางปฏิบัติ และมิได้แสดงว่าคู่สัญญาจะเปลี่ยนเจตนาให้สวัสดิการนั้นกลายเป็นค่าจ้าง ทั้งมิใช่กรณีที่นายจ้างมีเจตนาหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าจ้างโดยฝ่าฝืนกฎหมายแต่อย่างใด ที่ศาลแรงงานภาค 2 วินิจฉัยมาชอบแล้ว
หลังจากโจทก์ทำงานครบปีจำเลยมีการประเมินผลการทำงานของโจทก์ที่ผ่านมาโดยรวมแล้ว ยังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงเรียกโจทก์ไปคุยกับประธานกรรมการบริษัทจำเลย และให้โอกาสโจทก์ปรับปรุงตนเอง เมื่อครบกำหนดมีการประเมินผลการปฏิบัติงานอีกก็ยังไม่ดีขึ้น โดยมีการประเมินผลถึง 4 ครั้ง ซึ่งมีรายละเอียดตามคำเบิกความของนายภาสกร ผู้จัดการโรงงานผู้บังคับบัญชาของโจทก์ แสดงให้เห็นว่า ในการดูแลความปลอดภัยในโรงงานและประสานงานกับบริษัทลูกค้าของจำเลย การดูแลโรงอาหาร ร้านค้า การควบคุมดูแลรถรับส่งพนักงาน การประเมิน การลาออก การขาดงาน ลางาน มาสายของพนักงาน มีข้อบกพร่องไม่สมบูรณ์ ในกรณีที่โจทก์ต้องประเมิน วิเคราะห์งานก็ไม่จัดทำแผนการประเมินและวิเคราะห์ หรือมีการทำก็ไม่สมบูรณ์ จึงสรุปผลว่าโจทก์ไม่ผ่านเกณฑ์ประเมินผลการทำงาน และเลิกจ้างโจทก์ เห็นว่า กรณีนี้ จำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาจ้างเนื่องจากโจทก์ไม่สามารถปฏิบัติงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบได้ หรืออาจกล่าวว่าโจทก์ขาดสมรรถภาพที่จะทำงานและรับผิดชอบในตำแหน่งที่ได้รับการว่าจ้างก็น่าจะไม่ผิด มิใช่เป็นเรื่องการลงโทษเพราะโจทก์กระทำผิดทางวินัยตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ด้วยเหตุผลดังกล่าวประกอบข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานภาค 2 ฟังว่า จำเลยมิได้กลั่นแกล้งโจทก์ กรณีจึงมีเหตุผลเพียงพอและสมควรที่จำเลยจะเลิกสัญญาจ้างโจทก์ได้ ไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522
ศาลแรงงานภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่า วันที่ 26 และวันที่ 28 พฤษภาคม วันที่ 28 มิถุนายน และวันที่ 2 กรกฎาคม 2550 โจทก์ไม่ได้ไปทำงานเนื่องจากลาป่วยและลากิจ แต่โจทก์กลับทำบันทึกรายงานการตรวจงานโรงอาหาร ร้านค้าต่าง ๆ พร้อมกับแสดงข้อสังเกต แสดงว่าโจทก์รายงานเท็จ เมื่อได้ความว่ามีการกระทำเช่นนั้นในงานหลักซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของโจทก์ ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต ทำให้จำเลยนายจ้างมีสิทธิที่จะให้โจทก์ลูกจ้างออกจากงานได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ที่ศาลแรงงานภาค 2 วินิจฉัยมาจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share