คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2967/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14จะบัญญัติว่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือหรือครอบครองที่ดิน ก็เป็นเพียงบทบัญญัติที่ใช้บังคับระหว่าง รัฐกับราษฎร ซึ่งเป็นผลให้ราษฎรที่เข้ายึดถือครอบครองที่ดินไม่ได้สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายทั้งไม่อาจอ้างสิทธิใดๆ ใช้ยันรัฐได้ แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกันผู้ที่ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อน ย่อมมีสิทธิที่จะไม่ถูกรบกวนโดยบุคคลอื่น ดังนั้น หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่นาพิพาทเป็นที่ดินป่าสงวนแห่งชาติและโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองใช้ประโยชน์ในที่นาพิพาทอยู่ก่อนแล้วจำเลยเข้าไปแย่งการครอบครองอันเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์และ เรียกค่าเสียหายได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ โดยซื้อมาจากบุคคลอื่นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 และครอบครองตลอดมาจนบัดนี้ จำเลยและบริวารได้บุกรุกเข้าไปไถปลูกดำนาในที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย เป็นการรบกวนสิทธิครอบครองของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกปจากนาพิพาทกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย

จำเลยให้การว่า ที่นาพิพาทเป็นของจำเลยได้รับมรดกมาจากมารดาโจทก์กับบริวารบุกรุกเข้าไปไถที่นาพิพาท จำเลยไปแจ้งความต่อตำรวจ โจทก์ยอมรับว่าจะไม่บุกรุกหรือเข้าไปเกี่ยวข้องอีก พอถึงฤดูทำนาจำเลยได้เข้าไปทำนาในนาพิพาทจริงแต่ทำในเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ การที่จำเลยเข้าไปไถคราดปลูกข้าวไม่ทำให้ที่นาพิพาทเสียหาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่นาพิพาทเป็นที่ดินป่าสงวนแห่งชาติและวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ว่า แม้พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 จะบัญญัติว่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือหรือครอบครองที่ดินก็เป็นเพียงบทบัญญัติที่ใช้บังคับระหว่างรัฐกับราษฎรซึ่งเป็นผลให้ราษฎรที่เข้ายึดถือครอบครองที่ดินไม่ได้สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายทั้งไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ใช้ยันรัฐได้ แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกัน ผู้ที่ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อน ย่อมมีสิทธิที่จะไม่ถูกรบกวนโดยบุคคลอื่นมิฉะนั้นจะกลายเป็นว่ากฎหมายเปิดโอกาสให้ราษฎรเข้าแย่งสิทธิระหว่างกันเองได้ตามอำเภอใจ ซึ่งหาใช่เจตนารมณ์อันแท้จริงแห่งกฎหมายไม่ดังนั้นหากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองใช้ประโยชน์ในนาพิพาทอยู่ก่อนแล้วจำเลยเข้าไปแย่งการครอบครอง อันเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์และเรียกค่าเสียหายได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share