คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2963/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราที่สูงเกินกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องหรือสูงกว่าที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมายนั้นต้องเป็นกรณีที่ศาลใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(6)
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดาวน์และเงินค่างวดคืนโจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามคำฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ในส่วนดอกเบี้ยเป็นอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โดยตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ได้มีข้อวินิจฉัยว่า จำเลยไม่สุจริตในการสู้ความหรือในการดำเนินคดีนี้อย่างไร ทั้งตามสำนวนก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยสู้ความโดยไม่สุจริตอย่างไร จึงไม่มีเหตุตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(6) ที่จะพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราที่สูงเกินกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้อง จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 142 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2536 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพร้อมอาคารทาวน์เฮาส์ โครงการเมืองทองถนนพัฒนาการ เนื้อที่ 24 ตารางวา จากจำเลยในราคา 1,980,000 บาท โดยจำเลยตกลงก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 24เดือน นับตั้งแต่วันทำสัญญา โจทก์ได้ชำระเงินจอง เงินดาวน์ และเงินค่างวดที่ต้องชำระตามสัญญาให้แก่จำเลยแล้ว รวมเป็นเงินจำนวน 1,144,000 บาท แต่จำเลยก่อสร้างอาคารไม่แล้วเสร็จตามสัญญาโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย และแจ้งให้จำเลยคืนเงินที่รับไว้แก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระดอกเบี้ยตามกฎหมายของต้นเงินดังกล่าวแก่โจทก์ คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 303,267.61 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,447,267.61 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,144,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญากับโจทก์จริง แต่จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระค่างวดให้ครบถ้วนตามสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,447,267.61 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,144,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จให้เปลี่ยนจากร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 15 ต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาประการต่อมาว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องถึงวันชำระเสร็จโดยที่ไม่มีผู้ใดอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบ เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราที่สูงเกินกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องหรือสูงกว่าที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมายนั้น ต้องเป็นกรณีที่ศาลใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(6)โดยที่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดาวน์และเงินค่างวดคืนโจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามคำฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ในส่วนดอกเบี้ยเป็นอัตราร้อยละ 15ต่อปี โดยตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ก็ไม่ได้มีข้อวินิจฉัยว่า จำเลยไม่สุจริตในการสู้ความหรือในการดำเนินคดีนี้อย่างไร ทั้งตามสำนวนก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยสู้ความโดยไม่สุจริตอย่างไร จึงไม่มีเหตุตามบทบัญญัติ มาตรา 142(6) ที่จะพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราที่สูงเกินกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้อง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่งฎีกาในข้อนี้ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ในส่วนดอกเบี้ยให้บังคับไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share