แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำเลยที่ 2 ฟังเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2542 หลังจากนั้น วันที่ 18 พฤศจิกายน 2542 ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้โจทก์ฟัง โจทก์ย่อมมีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง ครบกำหนดที่โจทก์สามารถยื่นฎีกาได้ภายในวันที่ 18 ธันวาคม 2542 ซึ่งตรงกับวันเสาร์อันเป็นวันหยุดราชการ ระยะเวลายื่นฎีกาจึงสิ้นสุดลงวันที่ 20 ธันวาคม 2542 อันเป็นวันเริ่มทำการใหม่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/8 เมื่อโจทก์ไม่ฎีกา คดีจึงถึงที่สุดในวันที่ 20 ธันวาคม 2542 อันเป็นวันสิ้นกำหนดระยะเวลาฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ฉะนั้น จำเลยที่ 2 จะยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดว่าคำพิพากษาได้ถึงที่สุดแล้วเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2542 หาได้ไม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต โดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำเลยทั้งสองฟังเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2542 และอ่านให้โจทก์ฟังเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2542 ต่อมาศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแก่จำเลยที่ 2 โดยระบุว่า คดีถึงที่สุด วันที่ 18 ธันวาคม 2542 หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2550 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำเลยที่ 2 ฟังเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2542 คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จึงถึงที่สุดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2542 การที่ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแก่จำเลยที่ 2 เป็นวันที่ 18 ธันวาคม 2542 ไม่ถูกต้อง ทำให้จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2542 พ.ศ.2547 และ พ.ศ.2549 ตามลำดับ ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้จำเลยที่ 2 ใหม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้โจทก์ฟังเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2542 การออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแก่จำเลยที่ 2 ในวันที่ 18 ธันวาคม 2542 จึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับว่า คดีของจำเลยทั้งสองถึงที่สุดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2542 ให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของจำเลยทั้งสองใหม่เป็นวันที่ 8 พฤศจิกายน 2542
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 จะขอให้ศาลออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแก่จำเลยที่ 2 ได้ นั้น จะต้องเป็นกรณีที่คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว โดยไม่มีการอุทธรณ์หรือฎีกากันอีกทั้งคดี คดีนี้แม้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำเลยที่ 2 ฟัง เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2542 แต่หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2542 ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้โจทก์ฟัง ดังนี้โจทก์ย่อมมีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคหนึ่ง คดีนี้ ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้โจทก์ฟังเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2542 ครบกำหนดยื่นฎีกาวันที่ 18 ธันวาคม 2542 ซึ่งตรงกับวันเสาร์ อันเป็นวันหยุดราชการ ระยะเวลายื่นฎีกาจึงสิ้นสุดลงวันที่ 20 ธันวาคม 2542 อันเป็นวันที่เริ่มทำการใหม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/8 ดังนี้ เมื่อโจทก์ไม่ฎีกา คดีจึงถึงที่สุดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2542 อันเป็นวันสิ้นกำหนดระยะเวลาฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ฉะนั้น จำเลยที่ 2 จะยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดว่าคำพิพากษาได้ถึงที่สุดแล้วเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2542 หาได้ไม่ ส่วนปัญหาตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจยื่นฎีกานั้น ไม่เป็นสาระแห่งคดีอันควรแก่การวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 2 ให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของจำเลยทั้งสองใหม่เป็นวันที่ 20 ธันวาคม 2542