คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2958/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สำเนาบันทึกการรับเช็คซึ่งมีข้อความว่า โจทก์ได้รับเช็คของบริษัท พ. จากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการนำมามอบชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์นั้นเป็นการชำระหนี้โดยจำเลยที่ 1 แม้จะชำระด้วยเช็คของบริษัท พ. ก็ไม่ถือว่าบริษัทดังกล่าวเป็นผู้ชำระหนี้ กรณีต้องฟังว่าจำเลยทั้งสองรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2539 อายุความจึงสะดุดหยุดลง ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ จึงเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น ตามป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) และ 193 (15) เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2541 ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2539 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระค่าสินค้าเป็นเงิน ๔๐๐,๑๔๙.๖๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓๒๖,๐๐๖.๘๐ บาท (ที่ถูก ๓๒๖,๐๖๖.๘๐ บาท) นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ ซื้อสินค้าไปจากโจทก์ แต่ชำระราคาบางส่วนด้วยเช็คของบริษัทพงวดี คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป จำกัด ๗ ฉบับ รวมเป็นเงิน ๑๒๓,๔๙๗.๕๗ บาท คงค้างชำระเพียง ๒๐๒,๕๐๙.๒๓ บาท โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพราะไม่มีข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยไว้ และโจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด ๒ ปี นับแต่ส่งมอบสินค้า คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๒๗๘,๖๗๗.๖๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๖๗,๔๘๒.๖๗ บาท ๑๒๔,๔๗๓.๑๐ บาท และ ๘๖,๗๒๑.๙๒ บาท นับแต่วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๓๗ วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๓๗ และวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๘ ตามลำดับจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๔,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๓,๐๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสองมิได้ฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้ค่าสินค้าโจทก์รวม ๓๒๖,๐๖๖.๘๐ บาท ตามสำเนาใบส่งของเอกสารหมาย จ.๓ ถึง จ.๕ และจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการนำเช็คของบริษัทพงวดี คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป จำกัด ลูกหนี้ของจำเลยที่ ๑ มาชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ แต่เช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินได้เพียง ๖ ฉบับ เป็นเงิน ๑๐๕,๘๕๕.๐๖ บาท ตามสำเนาบันทึกการรับเช็คเอกสารหมาย จ.๖ โจทก์จึงนำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระหนี้ค่าสินค้าที่จำเลยที่ ๑ ค้างชำระแก่โจทก์ คงเหลือยอดหนี้ค้างชำระ ๒๐๐,๐๐๐ บาทเศษมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิจารณาพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ค้างชำระค่าสินค้าแก่โจทก์เป็นเงิน ๒๗๘,๖๗๗.๖๙ บาท เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ยอดหนี้ตามฟ้องมีจำนวน ๓๒๖,๐๖๖.๘๐ บาท เมื่อจำเลยที่ ๑ ชำระหนี้แล้ว ๑๐๕,๘๕๕.๐๖ บาท คงเหลือยอดหนี้ค้างชำระอยู่เพียง ๒๒๐,๒๑๑.๗๔ บาท มิใช่ ๒๗๘,๖๗๗.๖๙ บาท การที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่ามีการนำเงินตามเช็คที่เรียกเก็บเงินได้จำนวน ๕๘,๔๖๕.๙๕ บาท ไปหักชำระหนี้ตามบิล ๔ ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.๘ ทั้ง ๆ ที่โจทก์มิได้กล่าวถึงหนี้จำนวนนี้มาในฟ้องจึงเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า การนำเงินจำนวน ๕๘,๔๖๕.๙๕ บาท ไปหักจากยอดหนี้ตามบิล ๔ ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.๘ เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ซึ่งจำเลยที่ ๒ ก็เบิกความยอมรับว่าเป็นจริงตามนั้น ฉะนั้นเมื่อมีการชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแล้วโจทก์จึงมิได้กล่าวถึงยอดหนี้ดังกล่าวมาในฟ้อง ยังคงเหลือเงินที่จะนำมาหักชำระหนี้ได้อีก ๔๗,๓๘๙.๑๑ บาท โจทก์นำไปหักจากยอดหนี้บางส่วนตามสำเนาบิลเอกสารหมาย จ.๓ คงเหลือยอดหนี้ค้างชำระ ๖๗,๔๘๒.๖๗ บาท เมื่อรวมกับหนี้ที่ค้างชำระตามสำเนาใบส่งของเอกสารหมาย จ.๔ และ จ.๕ จึงเป็นยอดหนี้ค้างชำระ ๒๗๘,๖๗๗.๖๙ บาท ทั้งหนี้ในส่วนของต้นเงินที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้มีจำนวน ๓๒๖,๐๐๖.๘๐ บาท (ยอดเงินที่ถูกต้อง ๓๒๖,๐๖๖.๘๐ บาท) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน ๒๗๘,๖๗๗.๖๙ บาท จึงไม่เกินคำขอและไม่ต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๒ วรรคแรกแต่อย่างใด
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ตามสำเนาบันทึกเอกสารหมาย จ.๖ ซึ่งทำขึ้นเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๓๙ มีข้อความว่า โจทก์ได้รับเช็คของบริษัทพงวดี คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป จำกัด จากจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ นำมามอบชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ จึงเป็นการชำระหนี้โดยจำเลยที่ ๑ แม้จะชำระด้วยเช็คของบริษัทพงวดี คอนสตรัคชั่น กรุ๊ป จำกัด ก็ไม่ถือว่าบริษัทดังกล่าว เป็นผู้ชำระหนี้ กรณีถือได้ว่าจำเลยทั้งสองรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๓๙ อายุความจึงสะดุดหยุดลง ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ โดยให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๑๔ (๑) และ ๑๙๓/๑๕ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๑ ภายใน ๒ ปี นับแต่วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๓๙ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน โจทก์ไม่ได้แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้

นายสนิท ตระกูลพรายงาม ผู้ช่วย
น.ส.อังคณา สินเกษม ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นางอัปษร หิรัญบูรณะ ผู้ช่วย/ตรวจ

Share