คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์รับส่งบรรทุกของและคนโดยสารในนามของบริษัทจำเลยที่ 3 เพื่อการค้ากำไรร่วมกันนั้น เป็นคำฟ้องที่ไม่มีทางให้เข้าใจว่าจำเลยที่ 3 มีฐานะเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ได้เลย แม้ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามที่คู่ความนำสืบจะปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ก็ตาม ก็เป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกประเด็นจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์สาธารณรับจ้างของจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นนายจ้าง และจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์รับส่งบรรทุกของและคนโดยสารในนามของบริษัทยานยนต์นครปฐมขนส่งจำกัด จำเลยเพื่อการค้าหากำไรร่วมกัน เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2501 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ในนามของบริษัทจำเลยที่ 3 ตามทางที่จ้างของจำเลยที่ 2-3 ด้วยความเร็วและปราศจากความระมัดระวัง ชนกับรถของนายสมบูรณ์ กลิ่นหอม เป็นเหตุให้โจทก์ตกลงจากหลังคารถกระแทกกับพื้นดินบาดเจ็บสาหัส จึงขอให้จำเลยร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยที่ 1-2 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 3 ให้การต่อสู้ว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ และจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด อย่างไรก็ดีจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไม่ประมาท โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายเกินควรฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง

ส่วนสำนวนหลัง โจทก์บรรยายฟ้องทำนองเดียวกับสำนวนแรกขอให้จำเลยรับผิด

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 2-3 ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ 3 ในสำนวนแรก

ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และฟังว่าเหตุที่รถยนต์ชนกันเป็นความผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดร่วมกัน พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองสำนวน ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามฟ้องของโจทก์ไม่มีทางที่จะเข้าใจว่าจำเลยที่ 3 มีฐานะเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดฐานละเมิดที่เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา ขอให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดด้วย

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำละเมิดขอให้จำเลยที่ 2-3 ร่วมรับผิดด้วยในฐานะนายจ้างจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 แต่ตามฟ้องโจทก์กล่าวไว้ชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ขับรถรับส่งบรรทุกของและคนโดยสารในนามของบริษัทจำเลยที่ 3 เพื่อการค้ากำไรร่วมกัน ดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่าตามฟ้องโจทก์ไม่มีทางที่จะให้เข้าใจว่า จำเลยที่ 3 มีฐานะเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ได้เลย จำเลยที่ 3 จึงหาต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ไม่ ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 เป็นการนอกฟ้องหรือไม่โดยโจทก์เห็นว่า การวินิจฉัยคดีนอกฟ้องควรเป็นเรื่องนอกประเด็นซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดี แต่ในเรื่องนี้ ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบได้ความชัดว่าจำเลยที่ 3 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 และกิจการที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติ คือ การขับรถรับคนโดยสารตามเส้นทางที่จำเลยที่ 3 ได้รับสัมปทาน ซึ่งเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติการในกรอบงานของจำเลยที่ 3 อันถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามทางการที่จำเลยที่ 3 จ้าง จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์นั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติว่า “คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น” ดังนี้ เมื่อคำฟ้องของโจทก์มิได้ระบุกล่าวมาว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 แล้ว ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามที่คู่ความนำสืบว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 นั้น ก็เป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้องหรือนอกประเด็น จะรับฟังมาเป็นข้อวินิจฉัยคดีหาได้ไม่ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share