คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2945/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะพาผู้เสียหายไปส่งที่บริเวณงานหน้าศาลากลางจังหวัด เมื่อผู้เสียหายขึ้นรถยนต์สามล้อรับจ้างของจำเลยแล้ว จำเลยกลับพาผู้เสียหายไปที่โรงเรียนแห่งหนึ่งแล้วกระทำอนาจารผู้เสียหาย แสดงว่าจำเลยมีเจตนาจะพาผู้เสียหายไปกระทำอนาจารซึ่งเป็นความประสงค์มาตั้งแต่แรกแล้ว การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 และ 284 ซึ่งกระทำต่อเนื่องกันมาตลอดโดยไม่ขาดตอน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278,284, 91 และให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 834/2533ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278, 284 วรรคแรก ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 3 ปี ฐานกระทำอนาจารจำคุก 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี คำรับในชั้นจับกุมและสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก4 ปี คำขอนับโทษต่อให้ยก เพราะคดีดังกล่าวยังมิได้มีคำพิพากษาจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรกที่แก้ไขแล้ว ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปีคำรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่10 เมษายน 2533 เวลาประมาณ 16 นาฬิกา ผู้เสียหายออกจากบ้านที่อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปเที่ยวงานที่หน้าศาลากลางจังหวัดพัทลุง ต่อมาเวลาประมาณ 1 นาฬิกา ของวันที่ 11 เมษายน 2533ขณะที่ผู้เสียหายนั่งรอรถที่สามแยกท่ามิหรำ อำเภอเมืองพัทลุงเพื่อกลับบ้าน จำเลยขับรถยนต์สามล้อรับจ้างผ่านมาและหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะพาไปส่งที่บริเวณงานหน้าศาลากลางจังหวัดพัทลุงเมื่อผู้เสียหายขึ้นรถตามคำหลอกลวงจำเลยกลับพาผู้เสียหายไปที่โรงเรียนวัดนางลาด ตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง แล้วกระทำอนาจาร ผู้เสียหาย มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะพาไปส่งที่บริเวณงานหน้าศาลากลางจังหวัดพัทลุง แล้วพาไปกระทำอนาจาร เห็นได้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาจะพาผู้เสียหายไปกระทำอนาจารซึ่งเป็นความประสงค์มาตั้งแต่แรกแล้ว การกระทำดังกล่าวจึงต่อเนื่องกันมาตลอดโดยไม่ขาดตอน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share