คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2944/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ใช้รถยนต์บรรทุก รถไถ และรถเกี่ยวข้าวผ่านทางพิพาทซึ่งเป็นทางจำเป็นเพื่อทำนา รถเกี่ยวข้าวกว้างประมาณ 3.50 เมตร และความประสงค์ของจำเลยแต่เดิมยินยอมให้โจทก์และชาวบ้านใช้ทางพิพาทกว้าง 4 เมตร ดังนั้น การให้ใช้ทางพิพาทกว้าง 4 เมตร เพื่อให้ทางเข้าออกเป็นไปโดยสะดวก จึงพอควรแก่ความจำเป็นของโจทก์กับบุคคลอื่นผู้มีสิทธิจะผ่านและเกิดความเสียหายแก่จำเลยน้อยที่สุดตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสาม แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ตำบลโพตลาดแก้ว อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี โจทก์ทั้งสี่กับชาวบ้านละแวกเดียวกันใช้เส้นทางในที่ดินของจำเลยด้านทิศใต้ กว้าง 6 เมตร ยาว 40 เมตร ตลอดแนวเป็นทางเดินใช้เกวียนและรถยนต์ผ่านเข้าออกโดยสงบเปิดเผยและมีเจตนาให้เป็นทางภาระจำยอมหรือทางจำเป็นมานานนับ 100 ปี เพราะที่ดินของโจทก์ทั้งสี่กับชาวบ้านถูกปิดกั้นไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ต่อมาต้นเดือนมกราคม 2545 จำเลยนำดินมาถมปิดกั้นทางสูงประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ 40 เมตร ตลอดแนวด้านทิศใต้ ทำให้โจทก์ทั้งสี่กับชาวบ้านไม่สามารถใช้เส้นทางออกสู่ถนนเลี่ยงเมืองลพบุรีซึ่งเป็นทางสาธารณะ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ทั้งสี่กับพวกไม่สามารถใช้ทางจำเป็นและทางภาระจำยอมได้ ขอให้ศาลพิพากษาว่าทางพิพาทด้านทิศใต้ตลอดแนวที่ดินจำเลยโฉนดเลขที่ 2074 ตำบลโพตลาดแก้ว อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี กว้าง 6 เมตรยาว 40 เมตร เป็นทางภาระจำยอมและทางจำเป็น ห้ามจำเลยปิดกั้นทางพิพาท หากจำเลยปิดกั้นทางพิพาทอีก ขอให้โจทก์มีสิทธิรื้อถอนสิ่งกีดขวางทางพิพาทได้ โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้โจทก์ทั้งสี่และบริวารกับชาวบ้านในละแวกเดียวกันมีสิทธิใช้ทางพิพาท กับให้จำเลยนำโฉนดที่ดินดังกล่าวไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าเป็นทางภาระจำยอมหรือทางจำเป็น หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่เคยใช้ที่ดินพิพาทของจำเลยเป็นเส้นทางออกสู่ทางสาธารณะ และไม่จำเป็นต้องใช้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยออกสู่ถนนเลี่ยงเมืองลพบุรี โจทก์ทั้งสี่มีเจตนาเพียงจะจัดการที่ดินของตนให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเปิดทางจำเป็นให้โจทก์ทั้งสี่ผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 2074 ตำบลโพตลาดแก้ว อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี กว้าง 4 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินของจำเลยตามกรอบสีดำหมายสีส้มของแผนที่วิวาท ออกสู่ทางสาธารณะถนนเลี่ยงเมืองลพบุรี ห้ามจำเลยปิดกั้นทางจำเป็นดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสี่และบริวาร คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยเปิดทางจำเป็นให้โจทก์ทั้งสี่ผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 2074 ตำบลโพตลาดแก้ว อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี กว้าง 3 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินของจำเลยตามกรอบเส้นสีดำหมายสีส้มของแผนที่วิวาทออกสู่ทางสาธารณะถนนเลี่ยงเมืองลพบุรี ห้ามจำเลยปิดกั้นทางจำเป็นดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสี่และบริวาร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นนี้คงมีว่า โจทก์ทั้งสี่มีความจำเป็นต้องใช้ทางพิพาทกว้าง 4 เมตร หรือไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสาม บัญญัติว่า “ที่และวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน กับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ถ้าจำเป็น ผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้” เห็นว่า โจทก์ทั้งสี่ใช้ทางพิพาทโดยใช้รถยนต์บรรทุก รถไถ และรถเกี่ยวข้าวผ่านทางพิพาทเพื่อทำนา โจทก์ทั้งสี่ฎีกาว่า รถเกี่ยวข้าวมีความกว้างประมาณ 3.50 เมตร รายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายท้ายฎีกา จำเลยแก้ฎีกาโดยไม่โต้เถียงข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงรับฟังได้ว่ารถเกี่ยวข้าวมีความกว้างประมาณ 3.50 เมตร นายอุดมศักดิ์ผู้ใหญ่บ้านท้องที่เกิดเหตุเบิกความเป็นพยานโจทก์ยืนยันว่า ทางพิพาทแต่เดิมเป็นทางเกวียนกว้างประมาณ 2 วา ต่อมาทางราชการได้นำดินลูกรังมาถมทำถนนเพื่อให้ชาวบ้านในละแวกนั้นใช้เป็นทางสัญจรนานกว่า 10 ปีแล้ว ดังนี้ เมื่อความประสงค์ของจำเลยแต่เดิมยินยอมให้ชาวบ้านในละแวกนั้นรวมทั้งโจทก์ทั้งสี่ใช้ทางพิพาทกว้าง 4 เมตร การให้ใช้ทางพิพาทกว้าง 4 เมตร เพื่อให้ทางเข้าออกเป็นไปโดยสะดวก จึงพอควรแก่ความจำเป็นของโจทก์ทั้งสี่กับบุคคลอื่นผู้มีสิทธิจะผ่านและเกิดความเสียหายแก่จำเลยน้อยที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้ทางพิพาทมีความกว้าง 3 เมตรนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยเปิดทางจำเป็นกว้าง 4 เมตร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share