คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2942/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่า โจทก์เช่าซื้อรถแทรกเตอร์จากบริษัท ท. จำกัดและยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบ รถแทรกเตอร์จึงมิใช่ของโจทก์ขณะที่โจทก์ทำสัญญากับจำเลย โจทก์มิใช่ผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถแทรกเตอร์สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง จำเลยกลับอุทธรณ์ว่า โจทก์ค้างชำระค่าเช่าซื้อหลายงวดก่อนที่จะทำสัญญากับจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้ไม่สามารถจะจัดการให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในรถแทรกเตอร์ได้สัญญาจึงเป็นโมฆะ อุทธรณ์ของจำเลยเป็นการอุทธรณ์นอกประเด็นข้อต่อสู้การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ ไม่เป็นเหตุที่จะให้สิทธิจำเลยโต้แย้งต่อมาได้ ดังนั้นการที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ขาดส่งค่าเช่าซื้อหลายงวดมาก่อนทำสัญญากับจำเลย โจทก์จึงไม่สามารถจะจัดการโอนกรรมสิทธิ์ในรถแทรกเตอร์ให้แก่จำเลย การที่โจทก์หลอกลวงให้จำเลยทำสัญญากับโจทก์ สัญญานั้นจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นการฎีกานอกประเด็น.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2526 โจทก์เช่าซื้อรถแทรกเตอร์ฟอร์ด 6600 จากบริษัทไทยเกรย์ฟิน จำกัด 1 คันพร้อมอุปกรณ์ไถ 46 อันในราคา 409,360 บาท กำหนดชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2528 จำเลยได้ตกลงซื้อรถแทรกเตอร์คันดังกล่าวพร้อมอุปกรณ์ทั้งหมดจากโจทก์ซึ่งชำระราคาให้โจทก์ 100,000 บาท และสัญญาว่าจำเลยจะปฏิบัติตามสัญญาซึ่งโจทก์ได้ให้ไว้กับบริษัทไทยเกรย์ฟิน จำกัด จนครบถ้วนนับแต่จำเลยรับรถแทรกเตอร์พร้อมอุปกรณ์ไปใช้งานจำเลยไม่เคยชำระค่าเช่าซื้อให้บริษัทไทยเกรย์ฟิน จำกัด เลย ต่อมานายเปลี่ยนเชื้อหมอ ได้นำรถแทรกเตอร์คันดังกล่าวมาคืนในสภาพชำรุดทรุดโทรมเครื่องยนต์เสียหาย บริษัทไทยเกรย์ฟิน จำกัด ได้ฟ้องและบังคับคดีต่อโจทก์ให้ชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 176,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี รวมค่าทนายความอีก 1,500 บาทแต่โจทก์ขอคิดจากจำเลยเพียง 176,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวนเงิน 176,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เช่าซื้อรถแทรกเตอร์มาจากบริษัทไทยเกรย์ฟิน จำกัด โจทก์ยังชำระค่าเช่าซื้อให้บริษัทไทยเกรย์ฟินจำกัด ไม่ครบ รถแทรกเตอร์จึงมิใช่ของโจทก์ ขณะทำสัญญาซื้อขายโจทก์มิใช่ผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถแทรกเตอร์คันดังกล่าว สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยรับผิด สภาพรถแทรกเตอร์ขณะโจทก์ส่งมอบแก่จำเลยมีสภาพทรุดโทรมมากเมื่อจำเลยนำรถไปใช้งานด้านเกษตรได้ประมาณ 3 เดือน เครื่องยนต์รถแทรกเตอร์เสียหายใช้งานรับจ้างไม่ได้หลายเดือน จำเลยติดต่อให้โจทก์นำรถกลับคืนหลายครั้งแต่โจทก์ไม่ปฏิบัติ เมื่อโจทก์ถูกบริษัทไทยเกรย์ฟิน จำกัด ฟ้องโจทก์ไม่ต่อสู้คดี หากโจทก์ต่อสู้คดีโจทก์คงไม่ต้องรับผิดต่อบริษัทไทยเกรย์ฟิน จำกัด ตามจำนวนเงินในคำบังคับ สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับบริษัทไทยเกรย์ฟินจำกัด ในข้อที่ 7 ห้ามมิให้โจทก์ (ผู้เช่าซื้อ) นำรถแทรกเตอร์ออกขายแก่คนอื่น โจทก์ฝ่าฝืนสัญญาเองจึงต้องรับผิดต่อบริษัทไทยเกรย์ฟิน จำกัดโดยตรง จำเลยชำระเงินดาวน์ให้แก่โจทก์ไป100,000 บาท ชำระค่างวดแทนโจทก์ไป 15,000 บาท รวมกับราคารถแทรกเตอร์ขณะถูกยึดอีกประมาณ 100,000 บาท โจทก์จึงไม่เสียหายจำเลยไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 176,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว สำหรับฎีกาของจำเลยในข้อแรกที่โต้แย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จำเลยอ้างเหตุต่างไปจากที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ กล่าวคือ จำเลยให้การว่าโจทก์เช่าซื้อรถแทรกเตอร์จากบริษัทไทยเกรย์ฟิน จำกัด และยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบ รถแทรกเตอร์จึงมิใช่ของโจทก์ขณะที่โจทก์ทำสัญญากับจำเลย โจทก์มิใช่ผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถแทรกเตอร์ สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยให้รับผิด ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยเป็นสัญญาจะซื้อจะขายเพราะจะโอนกรรมสิทธิ์ให้ในภายหลัง แม้โจทก์จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถแทรกเตอร์ในขณะทำสัญญากับจำเลยสัญญานั้นก็ไม่เป็นโมฆะ เพราะโจทก์สามารถจัดให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในภายหลังได้ จึงมีอำนาจฟ้อง จำเลยกลับอุทธรณ์ว่า โจทก์ค้างชำระค่าเช่าซื้อหลายงวดก่อนที่จะทำสัญญากับจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้ไม่สามารถจะจัดการให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในรถแทรกเตอร์ได้สัญญาจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นการอุทธรณ์นอกประเด็นข้อต่อสู้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับวินิจฉัยให้จำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ไม่เป็นเหตุที่จะให้สิทธิจำเลยฎีกาโต้แย้งต่อมาได้ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ขาดส่งค่าเช่าซื้อหลายงวดมาก่อนทำสัญญากับจำเลย โจทก์จึงไม่สามารถจะจัดการโอนกรรมสิทธิ์ในรถแทรกเตอร์ให้แก่จำเลย การที่โจทก์หลอกลวงให้จำเลยทำสัญญากับโจทก์สัญญานั้นจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจึงเป็นฎีกานอกประเด็น ศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยให้ได้
ส่วนฎีกาของจำเลยในข้อที่สองซึ่งโต้แย้งเกี่ยวกับค่าเสียหายนั้น เห็นว่า… ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยคดีในส่วนค่าเสียหายมาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share