แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำร้องขอกันส่วนเงินของจำเลยเป็นคำคู่ความ การยื่นคำร้องดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 จึงจะนำมาตราดังกล่าวมาใช้แก่กรณีนี้ไม่ได้เพราะมาตรานี้มิได้มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่การยื่นคำคู่ความต่อศาล
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่านายชัยกิจ ดีสมโชค สามีจำเลยที่ ๒ ปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์แล้วนำไปโอนที่ดินของโจทก์เป็นของตน โจทก์ได้ฟ้องนายชัยกิจเรียกที่ดินคืนและในที่สุดได้ประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยที่ ๑ เข้าเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษา และต่อมานายชัยกิจผิดนัดโจทก์นำยึดที่ดินนายชัยกิจและจำเลยที่ ๑ เพื่อขายทอดตลาด ต่อมาปี ๒๕๒๕ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และนายชัยกิจชนะคดีบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ กรุงเทพมหานคร จำกัดเป็นเงิน ๒๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ขออายัดเงินบางส่วนของเงินดังกล่าวจำนวน ๓,๑๗๑,๐๖๗.๔๐ บาท ซึ่งจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และนายชัยกิจก็ทำบันทึกยินยอมให้โจทก์อายัดได้ ต่อมาจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ร่วมกันแจ้งความอันเป็นเท็จโดยยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายอ้างว่า ตนเองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในเงินที่โจทก์ขออายัดไว้ เป็นบุคคลภายนอกคดีและมิได้ถูกบังคับคดีขอกันส่วนเงินที่โจทก์ขออายัดไว้คนละส่วนเป็นเงินคนละ ๑,๐๕๗,๐๒๒.๘๐ บาท โดยขอให้ศาลงดการจ่ายเงินไว้ก่อน ทำให้ศาลหลงเชื่อจึงได้สั่งงดการจ่ายให้โจทก์ไว้ก่อนขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำร้องขอกันส่วนเงินของจำเลยทั้งสองเป็นคำคู่ความ ที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องดังกล่าวก็เป็นการดำเนินการตามกระบวนวิธีพิจารณาความตามกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าเป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗ จึงจะนำมาตรา ๑๓๗แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้แก่กรณีนี้ไม่ได้ เพราะประมวลกฎหมายอาญามาตรานี้มิได้มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่การยื่นคำคู่ความต่อศาล ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน