แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามคำเสนอขอเช่าซื้อที่ อ. ขอให้บริษัทโจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทมาให้ อ. เช่าซื้อนั้นระบุชัดเจนว่า ให้โจทก์ซื้อจากบริษัทจำเลยที่ 1 หาได้ซื้อจาก ส. กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 เป็นส่วนตัวไม่ ทั้งการที่โจทก์ชำระราคารถยนต์ก็เป็นการชำระให้จำเลยที่ 1 โดยมีหลักฐานการรับเงินของจำเลยที่ 1 ไว้ มิใช่ ส. เป็นผู้ออกหลักฐานการรับเงิน ดังนั้น แม้คำเสนอขายรถยนต์พิพาท ส. จะลงชื่อเป็นผู้เสนอขายโดยมิได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้อง แต่หนังสือรับรองก็ระบุกรมการของจำเลยที่ 1 ว่ามีเพียง ส. เท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เข้ารับประโยชน์ตามคำเสนอขายดังกล่าวโดยส่งมอบรถยนต์พิพาทให้แก่ อ. ผู้เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์และเป็นผู้รับชำระราคารถยนต์จากโจทก์ แสดงให้เห็นว่า ส. ทำคำเสนอขายรถยนต์พิพาทต่อโจทก์ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 และถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ให้สัตยาบันการกระทำของ ส. แล้ว การซื้อขายรถยนต์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายและเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทตกเป็นของโจทก์ แม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนรถยนต์เป็นชื่อของโจทก์ ก็หาทำให้การซื้อขายรถยนต์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่สมบูรณ์แต่อย่างใด เพราะการจดทะเบียนรถยนต์ไม่ใช่หลักฐานแห่งกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย เป็นเพียงหลักฐานที่กำหนดขึ้นเพื่อความสะดวกในการควบคุมของเจ้าพนักงานเท่านั้น การที่รถยนต์พิพาทหลุดไปจากการครอบครองของ อ. เพราะเกิดอุบัติเหตุ อ. จึงมอบรถยนต์ให้ ส. ที่บริษัทจำเลยที่ 1 เพื่อซ่อม แต่ ส. ไม่คืนรถยนต์ดังกล่าวให้ แต่จำเลยที่ 1 กลับนำรถยนต์พิพาทไปขายให้แก่บริษัทจำเลยที่ 2 อีก แม้จำเลยที่ 2 จะซื้อโดยสุจริตเสียค่าตอบแทน และนำรถยนต์ไปจดทะเบียนต่อกรมการขนส่งทางบก โดยระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ก็ตาม ก็หาทำให้จำเลยที่ 2 มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทไม่ การที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์พิพาทไปขายให้แก่จำเลยที่ 2เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรถยนต์ที่จำเลยทั้งสองยื่นคำขอต่อกรมการขนส่งทางบกได้ แต่จะขอให้เพิกถอนการซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 2 ซื้อรถยนต์พิพาทโดยสุจริต สัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองบังคับคู่สัญญาได้ เพียงแต่ไม่อาจใช้ยันโจทก์เท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2535 นายเอกภาพ พลซื่อได้ทำคำเสนอขอเช่าซื้อรถยนต์ต่อโจทก์ โดยขอให้โจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทยี่ห้อวอลโว่ ปี1992 รุ่น 940 จีแอล หมายเลขเครื่อง 1236006000142 จากจำเลยที่ 1 ซึ่งเสนอขายรถยนต์พิพาทในราคา 1,350,000 บาท โจทก์ตกลงซื้อและนำรถยนต์พิพาทออกให้นายเอกภาพเช่าซื้อในวันเดียวกัน นายเอกภาพได้รับรถยนต์พิพาทแล้ว โจทก์จึงได้รับโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทจากจำเลยที่ 1 และเข้าครอบครองรถยนต์พิพาทนับแต่วันดังกล่าวโดยมีนายเอกภาพเป็นผู้ครอบครองแทนตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ตกลงจะดำเนินการออกหมายเลขทะเบียนและใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1ได้นำแผ่นป้ายทะเบียนหมายเลข 8 อ -6414 กรุงเทพมหานคร มามอบให้โจทก์ แต่มิได้มอบใบคู่มือจดทะเบียนให้โจทก์ทวงถาม แต่จำเลยที่ 1 ผัดผ่อนเรื่อยมา ประมาณเดือนสิงหาคม 2537 โจทก์ตรวจสอบที่กรมการขนส่งทางบกพบว่าจำเลยที่ 1 ยื่นคำขอจดทะเบียนรถพิพาทในนามของจำเลยที่ 2 อ้างว่าขายรถยนต์พิพาทให้จำเลยที่ 2 เมื่อเดือนมีนาคม 2536 ซึ่งเป็นระยะเวลาภายหลังที่จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์แล้ว การซื้อขายรถยนต์พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองจึงไม่สุจริต ทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถยื่นคำขอจดทะเบียนรถยนต์พิพาทให้แก่ผู้ซื้อได้ ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองและแสดงว่าโจทก์มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 2 ให้เพิกถอนแบบคำขอจดทะเบียนรถยนต์พิพาทซึ่งจำเลยทั้งสองได้ยื่นต่อกรมการขนส่งทางบกให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันยื่นแบบคำขอจดทะเบียนรถยนต์พิพาทให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และนายเอกภาพ พลซื่อ เป็นผู้ครอบครองรถยนต์พิพาท หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบใบคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ หากไม่ส่งมอบให้กรมการขนส่งทางบกออกใบคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ใหม่และเพิกถอนฉบับเดิม หากไม่อาจดำเนินการได้ไม่ว่ากรณีใด ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 1,350,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบรถยนต์พิพาทในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีแก่โจทก์ มิฉะนั้นให้ใช้ราคาแทนจำนวน 1,350,000 บาท
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยที่ 1 และชำระราคาพร้อมทั้งได้รับการส่งมอบรถยนต์พิพาทแล้ว โดยจำเลยที่ 2 ได้นำรถยนต์พิพาทออกให้นายสถาพร สิทธิสมบัติ เช่าซื้อและได้ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้นายสถาพรครอบครองแทนตามสัญญาเช่าซื้อเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2536 ต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2536 ได้มีการจดทะเบียนรถยนต์พิพาทต่อกรมการขนส่งทางบกได้หมายเลขทะเบียน 8อ-6414กรุงเทพมหานคร ระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และนายสถาพรเป็นผู้ครอบครองตามสัญญาเช่าซื้อ ภายหลังนายสถาพรผิดสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 2 ได้บอกเลิกสัญญาและเข้าครอบครองรถยนต์พิพาทตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2536 จนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นโจทก์ได้ซื้อรถยนต์พิพาทจากนายสิระ เจนจาคะ หาได้ซื้อจากจำเลยที่ 1 ไม่ เพราะตามเอกสารการซื้อขายรถยนต์พิพาทนายสิระลงลายมือชื่อในสัญญาโดยไม่มีการประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 20ธันวาคม 2535 นายเอกภาพ พลซื่อ ยื่นคำขอเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากโจทก์ ระบุขอให้โจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยที่ 1 เพื่อนำมาให้นายเอกภาพ พลซื่อ เช่าซื้อ ตามคำเสนอขอเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.5 และนายสิระ เจนจาคะ ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.3 ทำคำเสนอขายรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ในราคา 1,350,000 บาท ตามคำเสนอของผู้ขายเอกสารหมาย จ.6 โจทก์ตกลงซื้อรถยนต์พิพาทและชำระเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ด้วยเช็คธนาคารเอเชีย จำกัด (มหาชน) สาขาอัมรินทร์พลาซ่า ตามสำเนาเช็คเอกสารหมาย จ.15 และใบสำคัญสั่งจ่ายเอกสารหมาย จ.11 จำเลยที่ 1 ได้ออกใบเสร็จรับเงินให้แก่โจทก์ตามใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีเอกสารหมาย จ.12 โจทก์นำรถยนต์พิพาทออกให้นายเอกภาพ พลซื่อ เช่าซื้อ ในวันเดียวกันโดยมีนายสานิต ว่องสัธนพงษ์ และนายสิระ เจนจาคะ เป็นผู้ค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.10 และนายเอกภาพ พลซื่อ ได้รับรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์แล้ว ต่อมาวันที่ 26 มีนาคม 2536 จำเลยที่ 2 ซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยที่ 1 ในราคา 1,800,000 บาท และชำระเงินให้แก่จำเลยที่ 1 แล้วนำออกให้นายสถาพร สิทธิสมบัติ เช่าซื้อกับส่งมอบรถยนต์พิพาทให้นายสถาพร สิทธิสมบัติ ในวันเดียวกันตามสัญญาเช่าซื้อ ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี หนังสือเรื่องแจ้งการเช่าซื้อรถยนต์ และคำขอเช่าซื้อรถยนต์เอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.5 หลังจากนั้นวันที่ 1 มิถุนายน 2536 จำเลยที่ 2 นำรถยนต์พิพาทไปจดทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบกโดยระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์นายสถาพรสิทธิสมบัติ เป็นผู้ครอบครองตามสัญญาเช่าซื้อและสำเนาใบคู่มือจดทะเบียนเอกสารหมาย จ.13 หลังจากเช่าซื้อแล้วนายสถาพร สิทธิสมบัติ ชำระค่าเช่าซื้อเพียง 3 งวด แล้วผิดนัดไม่ชำระอีก จำเลยที่ 2 บอกเลิกสัญญาแล้วยึดรถยนต์พิพาทคืนและครอบครองไว้จนปัจจุบัน
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทหรือไม่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ขายรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2535โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทโดยชอบ จำเลยที่ 2 ซื้อรถยนต์พิพาทไปจากจำเลยที่ 1 อีกเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2536 เป็นเวลาภายหลังที่โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทแล้ว จำเลยที่ 2 จึงซื้อจากผู้ไม่มีสิทธิขาย แม้จำเลยที่ 2 จะสุริตก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทเพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนนั้น เห็นว่า ตามคำเสนอขอเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.5 ที่นายเอกภาพ พลซื่อ ขอให้โจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทมาให้นายเอกภาพ พลซื่อ เช่าซื้อนั้นระบุชัดแจ้งว่า ให้โจทก์ซื้อจากจำเลยที่ 1 หาได้ขอให้ซื้อจากนายสิระ เจนจาคะ กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 เป็นส่วนตัวแต่อย่างใดไม่ และเมื่อโจทก์ชำระราคารถยนต์พิพาท โจทก์ก็ชำระให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1ได้ออกหลักฐานการรับเงินให้ ตามใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีเอกสารหมาย จ.12 มิใช่นายสิระ เจนจาคะ เป็นผู้ออกหลักฐานการรับเงินเป็นส่วนตัวแต่อย่างใด ดังนั้น แม้คำเสนอขายรถยนต์พิพาทตามเอกสารหมาย จ.6 นายสิระ เจนจาคะ จะลงชื่อเป็นผู้เสนอขายโดยมิได้ประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องตามที่ระบุไว้ในหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.3 ก็ตาม แต่ตามหนังสือรับรองก็ระบุว่ากรรมการของบริษัทมีเพียง1 คน คือนายสิระ เจนจาคะ เท่านั้น มิได้มีผู้อื่นอีก จึงไม่มีเหตุจะให้รับฟังไปว่า นายสิระเจนจาคะ เสนอขายรถยนต์พิพาทเป็นส่วนตัวตามที่ศาลล่างทั้งสองมีความเห็น ดังนั้นแม้จะมิได้ประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 ในคำเสนอขายเอกสารหมาย จ.6 อันไม่ถูกต้องตามหนังสือรับรองก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 เข้ารับประโยชน์ตามคำเสนอขายดังกล่าวโดยส่งมอบรถยนต์พิพาทให้แก่นายเอกภาพ พลซื่อ ผู้เช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากโจทก์และเป็นผู้รับชำระราคารถยนต์พิพาทจากโจทก์ แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า นายสิระเจนจาคะ ทำคำเสนอขายรถยนต์ต่อโจทก์ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1และถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ให้สัตยาบันการกระทำของนายสิระ เจนจาคะ แล้ว การซื้อขายรถยนต์พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย และเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทตกเป็นของโจทก์ เมื่อได้ตกลงซื้อขายและชำระราคารถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2535 แล้ว แม้จะไม่ได้จดทะเบียนรถยนต์พิพาทเป็นชื่อของโจทก์ ก็หาทำให้การซื้อขายรถยนต์พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่สมบูรณ์แต่อย่างใด เพราะการจดทะเบียนรถยนต์ไม่ใช่หลักฐานแห่งกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย เป็นเพียงหลักฐานที่กำหนดขึ้นเพื่อความสะดวกในการควบคุมของเจ้าพนักงานเท่านั้น การที่รถยนต์พิพาทหลุดไปจากการครอบครองของนายเอกภาพ พลซื่อ ผู้เช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากโจทก์ได้ความจากคำเบิกความของนายเอกภาพ พลซื่อ ว่า รถยนต์พิพาทเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ จึงได้มอบรถยนต์พิพาทให้นายสิระ เจนจาคะ ที่บริษัทจำเลยที่ 1 เพื่อซ่อม โดยนายสิระ เจนจาคะบอกว่าจะซ่อมเสร็จภายใน 7 วัน แล้วไม่คืนรถยนต์พิพาทให้โดยขอผัดผ่อนตลอดมาดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์พิพาทไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 อีก แม้จำเลยที่ 2 จะซื้อโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและได้นำรถยนต์พิพาทไปจดทะเบียนต่อกรมการขนส่งทางบกระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ก็ตาม ก็หาทำให้จำเลยที่ 2 มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทไม่ เพราะกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทเป็นของโจทก์มิใช่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทที่จะโอนให้แก่ผู้ใดได้อีก และการที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์พิพาทไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 บัญญัติไว้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรถยนต์ที่จำเลยทั้งสองยื่นคำขอต่อกรมการขนส่งทางบกได้ แต่จะขอให้เพิกถอนการซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 2 ซื้อรถยนต์พิพาทโดยสุจริตสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองบังคับคู่สัญญาได้ เพียงแต่ไม่อาจใช้ยันโจทก์เท่านั้นคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ในข้ออื่นอีก ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทให้เพิกถอนการจดทะเบียนรถยนต์พิพาท ที่จำเลยทั้งสองยื่นคำขอต่อกรมการขนส่งทางบก ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันดำเนินการจดทะเบียนให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทและนายเอกภาพ พลซื่อ เป็นผู้ครอบครองรถยนต์พิพาทต่อกรมการขนส่งทางบกแล้วส่งมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยที่ 2 คืนรถยนต์พิพาทในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ ราคาเป็นเงิน 1,350,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก