คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 294/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อเกิดเหตุแล้ว ผู้ตายซึ่งถูกยิงที่หน้าท้องได้เดิน มาขอความช่วยเหลือจาก ก. ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 50 เมตร แล้วบอกกับก. และ ส. ทันทีว่าจำเลยยิง ถ้อยคำของผู้ตายดังกล่าวเป็นคำบอกกล่าวในทันทีทันใดในเวลาใกล้ชิดต่อเนื่องกับเวลาเกิดเหตุและระบุว่าจำเลยเป็นคนร้ายโดยไม่มีโอกาสที่จะคิดใส่ความบุคคลอื่น และผู้ตายได้กล่าวอีกว่า ช่วย ผู้ตายหน่อย พร้อมกับขอปัสสาวะของ ก. ดื่ม เพื่อกันเลือดขึ้น ใจของผู้ตายไม่ดีเลยให้รีบไปแจ้งความและรีบเอาหมอ มา ถ้อยคำของผู้ตายแสดงถึงความรู้สึกว่าตนจะต้องถึงแก่ความตายแล้ว การที่ผู้ตายบอกกล่าวในขณะที่มีความรู้สึกเช่นนั้นว่า คนร้ายที่ยิงตนคือจำเลยเช่นนี้ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานว่าเป็นความจริงตามคำกล่าวได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218,289, 339, 91 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2514) ข้อ5, 14 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 คืนวิทยุแก่เจ้าของและริบปลอกกระสุนปืนลูกซองของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 218(1), 289, 339 วรรคท้าย ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11(พ.ศ. 2514) ข้อ 5, 14 ข้อหาฐานฆ่าผู้อื่นและฐานชิงทรัพย์เป็นกรรมเดียวกัน ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นอันเป็นบทหนัก ให้ประหารชีวิตฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นให้จำคุก 12 ปี ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
โจทก์จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมาศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) กระทงหนึ่ง ลงโทษประหารชีวิตมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 กระทงหนึ่ง จำคุก 1 ปีแต่โจทก์มิได้อุทธรณ์จึงเพิ่มเติมโทษจำเลยมิได้ และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218(1) จำคุก 12 ปี เมื่อวางโทษประหารชีวิตแล้วก็ไม่อาจบังคับโทษจำคุกได้ คงลงโทษประหารชีวิตคืนวิทยุของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่าเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2526 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา ได้มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนายจันทร์ จายไทยสงค์ และนางคำมา จายไทยสงค์จนถึงแก่ความตายและคนร้ายได้วางเพลิงเผาบ้านของผู้ตายทั้งสองจริงปัญหามีว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ โจทก์มีนายแกง สีดากับนางสวง กันทะวงศ์หรือสีดา เบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุประมาณ15 วัน จำเลยมาขอข้าวจากผู้ตายทั้งสองกินแล้วลักเอาพริกและเกลือของผู้ตายทั้งสองไป ต่อมาในวันเกิดเหตุจำเลยได้มาขอข้าวจากนายแกงอีกแต่ข้าวยังไม่สุก จำเลยจึงไปค้นในครัวของผู้ตายทั้งสองแต่นางคำมาผู้ตายไม่ยอมให้ จำเลยจึงออกมาแล้วนาจันทร์ผู้ตายใช้มีดขว้างจำเลย พฤติการณ์เช่นนี้ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยมีความโกรธผู้ตายทั้งสองอยู่ ครั้นเวลาประมาณ 16 นาฬิกา จำเลยกับพวกพูดขู่พยานโจทก์ทั้งสองว่า ถ้าจำเลยจะฆ่าคนเมืองซึ่งหมายความถึงผู้ตายทั้งสองแล้วอย่างไปบอกตำรวจ ถ้าไปบอกตำรวจ จำเลยจะฆ่าพยานทั้งสองและฆ่าโคของพยานด้วย นายแกงก็ไปบอกผู้ตายทั้งสองทันทีจนกระทั่งเวลาประมาณ 20 นาฬิกา พยานโจทก์ทั้งสองได้ยินเสียงปืนดังที่บ้านของผู้ตายทั้งสอง 2 นัด และมีไฟไหม้บ้าน นายแกงพยานโจทก์วิ่งไปดูเห็นจำเลยถือปืนยาววิ่งไปมาอยู่ที่หน้าบ้านของผู้ตายด้วยแสงไฟที่ไหม้บ้านของผู้ตายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสองต่างเคยรู้จักจำเลยมาก่อนและต่างได้เบิกความติดต่อเชื่อมโยงถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ ของจำเลย โยไม่มีข้อพิรูธใดอันพึงสงสัยว่าได้เบิกความโยมิได้รู้เห็นเหตุการณ์ตามความเป็นจริง และพยานโจทก์ต่างไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยอันเป็นข้อระแวงสงสัยว่าจะเบิกความกลั่นแกล้งจำเลยด้วย ทั้งยังปรากฎตามคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองอีกว่า เมื่อเกิดเหตุแล้ว นางคำมาซึ่งถูกยิงที่บริเวณหน้าท้องก็ได้เดินมาขอความช่วยเหลือจากนายแกงซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 50 เมตรแล้วบอกกับนายแกงและนางสวงทันทีว่ามูเซอร์จะก่อยิงเห็นว่าบ้านของผู้ตายกับบ้านของพยานโจทก์ทั้งสองนี้อยู่ใกล้กันถ้อยคำของนางคำมาผู้ตายดังกล่าวเป็นคำบอกกล่าวในทันทีทันใดในเวลาใกล้ชิดต่อเนื่องกับเวลาเกิดเหตุ และระบุว่าจำเลยเป็นคนร้ายโดยไม่มีโอกาสที่จะคิดใส่ความบุคคลอื่น โดยไม่ตรงต่อความเป็นจริงพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความต่อไปว่า นางคำมาผู้ตายได้กล่าวอีกว่าช่วยผู้ตายหน่อย พร้อมกับขอปัสสาวะของนายแกงดื่มเพื่อกันเลือดขึ้นใจของผู้ตายไม่ดีเลย ให้รับไปแจ้งความและรีบเอาหมอมา นายจันทร์ก็ตายไปแล้ว นายแกงจึงปัสสาวะใส่กะลาให้นางคำมาดื่มทันที ถ้อยคำดังกล่าวนี้มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่านางคำมาผู้ตายได้กล่าวเช่นนั้นจริง ถ้อยคำที่นางคำมากล่าวแสดงถึงความรู้สึกว่าตนจะต้องถึงแก่ความตายแล้ว การที่นางคำมาผู้ตายบอกกล่าวในขณะที่มีความรู้สึกเช่นนั้นว่า คนร้ายที่ยิงตนคือจำเลยเช่นนี้ ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานว่าเป็นความจริงตามคำกล่าวได้ ต่อมาในวันรุ่งขึ้น เมื่อพันตำรวจโทธงชัย ทิพยมณฑล สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอแม่อายกับแพทย์ประจำตำบลแม่อายได้ชันสูตรพลิกศพนางคำมาผู้ตายตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้องก็ระบุไว้ถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตายว่าถูกนายจะก่อ มูเซอร์ใช้อาวุธปืนยิง และพันตำรวจโทธงชัยได้ออกหมายจับจำเลยไว้และได้ติดตามจับจำเลยได้เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2526โดยนางแกงพยานโจทก์เป็นผู้นำชี้ให้เจ้าพนักงานจับจำเลยได้ที่ไร่ของจำเลยและยึดได้วิทยุยี่ห้อธานินทร์ 1 เครื่องจากจำเลย ซึ่งนางสาวนาง เสาว์คำ บุตรของนางคำมาผู้ตายยืนยันว่าเป็นของนางสาวนางที่ได้รับเป็นของขวัญจากนายจ้างและได้มอบให้ไว้แก่นางคำมาผู้ตายโดยมีตำหนิเป็นรอยบุบที่ขอบเป็นที่สังเกตด้วย พยานหลักฐานของโจทก์ดังที่ได้วินิจฉัยมามีน้ำหนักและเหตุผลให้รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงดังโจทก์ฟ้อง พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษา.

Share