แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากมิได้ระบุหลักฐานการเป็นหนี้ธนาคารโจทก์และหลักฐานที่จำเลยได้เคยนำเงินเข้าออกอย่างไรมาให้ทราบเท่านั้น ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาโต้เถียงเกี่ยวกับฟ้องโจทก์ ในกรณีอื่นว่าเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมด้วยนั้นจึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2520 จำเลยได้จดทะเบียนจำนองและต่อมาได้จดทะเบียนขึ้นเงินจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 194 ซึ่งภายหลังได้ออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 16099, 16100 และ 17655 ตำบลเชิงเนิน อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ในวงเงิน 550,000 บาท คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี และภายหลังขึ้นเป็นอัตราร้อยละ 19 ต่อปี และวันที่ 25มกราคม 2526 จำเลยได้จดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 238, 6, 9, 34 และ 17 หมู่ที่ 1, 6ตำบลนายายอาม อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี รวม 5 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างในวงเงิน 250,000 บาท คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีทั้งนี้ เพื่อประกันหนี้สินต่าง ๆ ของจำเลย เมื่อวันที่ 9พฤศจิกายน 2525 จำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์สาขาระยองจำนวน 700,000 บาท คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีกำหนดชำระดอกเบี้ยทุกเดือนภายในวันที่ 25 ของเดือน และกำหนดชำระต้นเงินคืนภายในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2526 และวันที่ 28กุมภาพันธ์ 2528 จำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 461/2528ให้ไว้แก่โจทก์ สาขาระยอง จำนวน 1 ฉบับ เป็นเงิน 91,500 บาทดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี กำหนดใช้เงินภายใน 90 วัน แต่หลังจากทำสัญญากู้ยืมเงินหรือนับแต่วันครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วจำเลยไม่เคยผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ ซึ่งนับแต่วันที่ 17มิถุนายน 2528 จนถึงวันฟ้อง โจทก์ได้ทำการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากร้อยละ 19 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี คิดเป็นดอกเบี้ยเงินกู้จำนวน 525,325.79 บาท และคิดเป็นดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 26,853.26 บาท รวมเป็นหนี้ตามสัญญากู้เงินและหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสิ้น 1,343,679.05 บาท โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,343,679.05 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 791,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระเงินดังกล่าวก็ให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้ระบุหลักฐานการเป็นหนี้และหลักฐานที่จำเลยได้เคยนำเงินเข้าออกอย่างไรมาให้ทราบขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 700,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2525เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยชำระเงิน91,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากจำเลยไม่ยอมชำระหรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินที่จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วนโจทก์และจำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน791,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยจากต้นเงิน 700,000 บาทอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2525 จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2526 อัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่1 กุมภาพันธ์ 2526 จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2527 อัตราร้อยละ 19 ต่อปีตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2527 จนถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2528อัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2528 จนถึงวันที่ 1 มกราคม 2529 อัตราร้อยละ 17 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 2มกราคม 2529 จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 และอัตราร้อยละ 15 ต่อปีตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529 เป็นต้นไปจนถึงวันฟ้องและต่อไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ กับให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์จากต้นเงิน 91,500 บาท อีกจำนวนหนึ่งในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2528 จนถึงวันฟ้อง และอัตราร้อยละ15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียงใด จำเลยจะต้องรับผิดในการขึ้นเงินจำนองครั้งที่ 2 หรือไม่ และโจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยชอบแล้วหรือไม่ ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า จำเลยให้การโต้แย้งในปัญหาข้อนี้แต่เพียงว่าฟ้องโจทก์มิได้ระบุหลักฐานการเป็นหนี้และหลักฐานที่จำเลยได้เคยนำเงินเข้าออก อย่างไรมาให้ทราบเท่านั้น ดังนั้นที่จำเลยฎีกาโต้เถียงเกี่ยวกับฟ้องโจทก์ในกรณีอื่นว่าเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมด้วยนั้น จึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัย คงมีปัญหาเฉพาะฟ้องโจทก์ที่จำเลยให้การโต้แย้งดังกล่าวเท่านั้น เห็นว่าคำฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดว่าจำเลยเป็นหนี้กู้ยืมเงินโจทก์ 700,000 บาท และดอกเบี้ยตั้งแต่วันกู้ยืมตลอดมากับเป็นหนี้ค่าขายตั๋วสัญญาใช้เงินให้ไว้แก่โจทก์ 91,500 บาท และดอกเบี้ยตั้งแต่วันออกตั๋วสัญญาใช้เงินตลอดมา จำเลยได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์ขอบังคับจำนองไว้เป็นประกันหนี้ดังกล่าวด้วย ทั้งโจทก์ได้แนบภาพถ่ายสัญญากู้ยืมเงิน ภาพถ่ายตั๋วสัญญาใช้เงินและภาพถ่ายหนังสือรับรองการขายตั๋วสัญญาใช้เงินเกี่ยวกับหนี้ดังกล่าวมาท้ายฟ้องด้วยปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 และ 7 ฟ้องโจทก์จึงได้แสดงถึงที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์โดยแจ้งชัดแล้ว หาเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมไม่”
พิพากษายืน